เทคนิคการมีสติหรือกำหนดรู้นี้จะต้องมีสิ่งล่อ ชักนำจิตให้มา เช่น การท่องถ้อยคำ(บริกรรม)การจัดสภาพแวดล้อม เพลงกล่อม อากาศ กลิ่น เสียง แสง เป็นต้น หลักหนึ่งที่ใช้ได้ผลโดยง่ายคือ การล่อจิตด้วยการท่องว่า "อย่าให้เสร็จๆ" ขณะที่ทำการใดๆ และเมื่อจิตคิดเรื่องอดีต อนาคต หรือวิตกกังวล ให้ท่อง"อย่าคิดๆ" แล้วรีบนำจิตมาเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ และบางครั้งจิตจะหนีไปขณะทำการใดๆ หรืออยู่เฉยๆ ก็ท่องว่า "รู้ๆหรือกำหนดรู้ๆ"
เทคนิคดังกล่าวนี้ท่องเพื่อล่อหรือชักนำจิตให้มาเกาะเกี่ยวกับการงานหรือสิ่งที่ทำนั้น และเมื่อจิตเกาะกับสิ่งที่ทำแล้วก็ไม่ต้องท่องต่อไปอีก ซึ่งเทคนิคที่สำคัญสุด คือ ทำการสิ่งใดๆ ก็ตามต้องทำอย่างช้าๆ และจะเร็วขึ้นเอง กล่าวคือตัวสติจะชอบเกิดในจังหวะที่ช้า ส่วนตัวตัณหาจะเกิดไม่เป็นจังหวะและจะเร่งเร้าร้อนหรือเคลื่อนที่เร็ว
และขณะทำการใดๆหรืองานต้องมองแค่คืบแค่ศอกหรือเป็นส่วนๆของงานเป็นต้นว่า ซักผ้า ก็มองแค่หนึ่งตัวอย่ามองหลายตัว จิตจะเหนื่อย หรือพบเห็นตัวหนังสือมีข้อความเนื้อหามากหลายบรรทัดหลายหน้ากระดาษ เมื่อจิตรับรู้ก็จะเหนื่อย ไม่อยากอ่าน ก็ต้องมองที่ละถ้อยคำ ถอนหญ้า เกี่ยวข้าวยกสิ่งของจำนวนมากๆก็เช่นกันให้มองเป็นส่วนๆ หรือชิ้นๆ
หากขับรถก็ให้มองทางและท่องว่า "อย่าให้ถึง" (มันถึงอยู่แล้ว เพราะเรากำลังขับรถไปยังที่หมาย เปิดร้านขายของก็ไม่ต้องคิดว่า จะขายได้เพราะมันขายได้อยู่แล้ว เนื่องจากเราเปิดร้าน และเมื่อเกิดสติแล้วสมาธิก็จะตามมาและก็ไปถึงลำดับขั้นอารมณ์(เพลิดเพลิน) จากนั้นค่อยๆสังเกตลมหายใจเข้าและลมหายใจออก(หายใจยาวๆ) และก็ใช้ปัญญาดัดแปลง ประยุกต์พัฒนาหน้างานโดยวิเคราะห์และสืบสาวหาเหตุปัจจัยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำนั้น หรือหาหลักการเคลื่อนไหวของร่างกายและวิธีทำงานให้ง่ายที่สุดและใช้เวลาน้อยที่สุดกับทั้งได้งานดีสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น