วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๒




๑.ศีลปิดอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรฉาน) ธรรมเป็นปัญญาชำระกิเลสดับเย็นให้แก่ใจดวงนี้ ไม่ร้อน เบา สงบ 

๒.ตายท่าใดก็ได้ จะอุบัติเหตุหรือไม่ก็ตาม แต่ใจต้องสงบและสมัครใจตายเพราะมีการเตรียมการและวางแผนมาก่อนโดยรู้วิธีจากทรัพย์ ละทรัพย์ วางทรัพย์ และสิ่งผูกพันใดๆ(ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข) หนาวมากๆ หรือเป็นผีร้องไห้ ถ้าไม่เริ่มปฏิบัติและฝึก(ฝึกสติ) หรือโน้มธรรมแต่วันนี้ ละอกุศล เจริญกุศล (ทานยิ่งให้ยิ่งได้ ขึ้นสวรรค์ แต่ปิดอบายภูมิไม่ได้ ต้องใช้ศีลปิด บุญมากกว่าทานหลายเท่า ส่วนธรรมเป็นปัญญาชำระกิเลส)

๓.กายที่หิว กินอาหารก็จบ แต่ใจที่ปรารถนา พอใจ ไม่พอใจ วิตก หดหู่ เศร้าหมอง โศก หรือฟุ้งซ่านต้องมีปัญญาดับเย็นให้แก่ใจดวงนี้ มิฉะนั้น จิตปรุงแต่งนาน คิดวนนาน เครียด หรืออาจฆ่าตัวตาย....คิด เห็น พูดและทำดีมีศีลคุ้มครองเพื่อรักษาจิต มนุษย์มีเวลาน้อย บางึคนเหลือไม่กี่ปีก็จากโลกนี้ หรือเดินไปสู่ความแตกดับ ย้อนเวลาไม่ได้ ขณะปัจจุบันเรากำลังเดินทางอยู่บนตำแหน่ง ณ จุดๆหนึ่งของเส้นทาง เวลาอนันต์ที่เวียนเกิดเวียนตายกันมาและกำลังจะแยกย้ายกันไปตามภพภูมิหรือกฎกรรมที่ทำมา เราทั้งหลายต้องเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้ทุกชีวิตอยู่กันไปตราบเท่านานที่สุด.......(ย้อนเวลาไม่ได้ ล้วนเดินหน้าไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น)

๔.เราทั้งหลายไม่ได้อะไร เพราะสิ่งที่เราได้อยู่นั้นกำลังพังหรือเสื่อมหรือเรากำลังจะจากเราไป ชีวิตใช้ไปสิ้นไป หมดไป และไปเลย ยาวนานแน่..........หากทำกรรมไม่ดี

๕.ไม่มีผู้ใดมีความสุขด้วยการผิดศีลธรรม เพราะจิตปรุงแต่งนึกคิดในสิ่งที่ทำมาเนื่องจากสัญญาความจำได้หมายรู้จะปรากฏแก่ใจและหรือก็ปรุงแต่งนึกคิด จิตจึงไม่สงบ เร้าร้อนกระวนกระวายวิตกเศร้าหมอง จบไม่สวย เป็นการทำร้ายจิตวิญญาณ หงุดหงิด หรือโกรธ หรืออยาก ๕ นาที ก็เหนื่อยแล้ว (ในแต่ละวันจิตจะถูกกระทบ พึงระวังป้องกันหรือรักษาจิต) มนุษย์มีเวลาน้อย......มีสิ่งใดก็ต้องรักษา

๖.คนส่วนใหญ่ในโลกเต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวงหาความจริงไม่ค่อยได้..........แต่ถ้าเห็นสัจธรรมจริงๆแล้ว หนาวจริงๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพัง  (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เราทั้งหลายต้องแบกภาระกับการแปรเปลี่ยนกับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็น และยิ่งมีหรือเป็นมากเท่าใดก็ทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เพราะจิตทำงานเยอะ เรื่องราว เหตุการณ์ ปัญหา ภาระ ผู้คน การติดต่อ บางคนใช้เงินแก้ปัญหา แต่เราก็ต้องหาเงินมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น เวลาชีวิตก็น้อยลงๆ จนหมดและสิ้นไป หายไป.......

๗.สนิมกัดกินเหล็ก  บาปกัดกินใจ   บรรดาของร้อนเป็นบาปทั้งสิ้น      อาทิ เคือง หงุดหงิด โกรธ ไม่พอใจ เราทั้งหลายต้องรักษาแก่น(จิตใจ) บ้างเหลือเวลาอายุน้อย พึงห้ามใจ ได้มากกว่าไม่เห็นจะเป็นไร อยู่นานมากกว่าสิบปี สิบห้าปีก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะสุดท้ายก็ต้องหายกันไปทั้งหมดและก็เวียนลูปกันใหม่ หากเชื่อภพภูมิ   แต่ถ้าชีวิตสิ้นสุดกันที่เชิงตะกอนก็ดี แต่นี้ อนันตะระปัจจะโย.......

๘.ผู้ที่มองผู้อื่นด้อยกว่า ไร้ค่ากว่า ต่ำกว่า  เห็นว่าติดสมมุติ ย่อมไม่รู้วิมุติ (หลุดพ้น)และถ้าติดอัตตา(ตัวตน)ก็จะไม่รู้อนัตตา จม หลง งมงายหรือเมาอยู่กับความเห็นผิดเช่นนั้น กรรม....

๙.ยิ่งแสวงหาเท่าใดความทุกข์ก็จะมาแทนที่   ยิ่งไม่พอเท่าใดความทุกข์ก็จะแทนที่ ยิ่งดิ้นรนเท่าใดความเหนื่อยก็มากขึ้น ยิ่งแบกเท่าใดความทรมานก็มากขึ้น เรามาอาศัยโลกอยู่เพียงชั่วแวบๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของโลก เรามาดื่มอาบเคี้ยวกินแล้วก็จากโลกนี้ไป เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด............วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ เว้นแต่อริยะหรือบุรุษสี่คู่ มนุษย์มีเวลาน้อย....       
     
๑๐.เมื่อยืน เดิน นั่ง นอน ทำการใดๆ หรืออยู่ ณ ตำแหน่งใดๆ พึงหันหลังให้ดวงอาทิตย์หรือแสง 

๑๑.เห็นสาวสวย พึงกำหนดรู้ มองผ่านทะลุแป้งและหนังจะเห็นอวัยวะน้อยใหญ่ ปอด หัวใจ ลำไส้เล็กใหญ่ กระเพาะ ตับ ม้าม ห้อยโยงโตงเตง กายนี้เป็นความงามแห่งหีบศพ มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ดูเปล่งปลั่งผุดผาด ถ้ากำหนัดต้องรีบกำหนด ภาวนาหรือท่องในใจว่า ตกขาวๆๆๆ หรือน้องสาวๆๆ พี่สาวๆๆ แม่ๆๆๆๆเพื่อความคิดหรืออารมณ์การปรุงแต่งของจิต รวมตลอดถึงระงับหรือหยุดสภาพแห่งการกระทำ รวมตลอดถึงทุกข์โทษภัยที่ตามมา ยาว......

๑๒.คนไม่มีมรรยาท ไม่มีวินัย ไม่มีศีล ไม่พึงคลุกคลี พึงติดต่อตามเหตุปัจจัย มิฉะนั้นจะถูกกวนใจ หงุดหงิดหรือถูกเบียดเบียนได้ แต่ถ้ากำหนดรู้ทัน ให้พึงระลึกว่าเป็นกรรมของสัตว์หรือท่องภาวนาว่า บัวๆๆๆ(มนุษย์มีคุณสมบัติหรือภูมิจิตแตกต่างกัน) เมตตาๆๆ เช่นนั้นเองๆๆ โกรธเขาเราร้อนๆๆ ไม่พึงเคือง หรือหงุดหงิดหรือโกรธเขา หากพบอีกเลี่ยงได้ต้องเลี่ยงเพื่อป้องกันจิตถูกกระทบอีก

๑๓.ผู้ตั้งอยู่ในธรรมย่อมไม่ทำบาปแต่กลับเป็นผู้เกื้อกูล ช่วยเหลือ แบ่งปัน ความสุขหาได้อยู่ในชีวิต หาใช่อยู่นอกชีวิต มิฉะนั้น คนที่มีที่เป็นสุดๆก็สำเร็จเป็นยอดแห่งสุข(ผู้ที่มีบ้านหลังใหญ่ที่สุดเท่าดาวพฤหัสสุขที่สุดใช่ไหม)

๑๔.ความรู้ทางโลกมองเกิดดิ้นรนแสวงบำบัดบำรุงให้แก่ร่างกายติดกับสมมติ แต่ความรู้ทางธรรมมองดับ มองตาย(มรณัสสติ)เห็นทุกข์โทษภัยดับเย็นให้แก่ดวงจิตและเข้าสู่วิมุตติ เราไม่ควรเห็นทุกข์เมื่อเครียดหรือโกรธหรืออยากหรือคิดไม่ออกนานๆ เสียพลังจิต คิดนาน คิดไม่ออกหรือสงสัยก็เป็นทุกข์ เก่ง รวย ใหญ่ ที่สุดๆ ก็ทุกข์และก็ทุกข์มากด้วยเพราะเหนื่อยตั้งแต่แรกยันจากโลกนี้ไปพร้อมกับความเมาหรือหลงในสิ่งนั้น เราอยู่บนจุดของเส้นทางอนันต์ ย้อนเวลาไม่ได้ ทั้งไม่รู้ว่ามาจากไหน และจะไปไหน(ภูมิภพ)หรือเราอยู่ ณ จุดจุดหนึ่งในจักรวาล แวบหนึ่งก็หายไป เราไม่ควรเมากับบัญญัติหรือสมมุติบัญญัติในโลกจนเกินไป ใช้ชีวิตไปตามเหตุปัจจัย ลมหมดเมื่อใดก็ล้มกันตรงนั้น ส่วนจะเผาวัดใดก็แล้วแต่ญาติพี่น้องจะนำไป เป็นมนุษย์ไม่ใช่ของหมูๆ หรือไม่ใช่หมู ทุกข์...

๑๕.กรรมใดหรือสิ่งใดที่ทำให้จิตเศร้าหมองพึงเว้นเสีย เราไม่ควรให้ชะตากรรมความเหนื่อย ความเจ็บปวดทรมาน ความสูญเสีย ความพลัดพราก(ทรัพย์หายชำรุด)สั่งสอนเรา เราทั้งหลายควรมีสติทุกเมื่อ ระลึกรู้ในสิ่งที่คิด ที่ทำ ที่พูด และบ่มปัญญาให้เกิดเพื่อดับเย็นให้แก่จิตดวงนี้ (ปัญญาชำระกิเลส)

๑๖.เมื่อพิจารณาฐานะของสรรพสิ่งภายใต้บังคับเวลาอนันต์ ย้อนเวลาไม่ได้ สรรพสิ่งวิวัฒน์ สิ่งของอนันต์ชิ้น เกิดดับ แปรเปลี่ยนแตกสลายสืบต่อกันไปทุกขณะๆ สิ่งของพัง ตัวเราพัง อาณาจักรพัง ภูเขาพัง ประวัติศาสตร์ อารยธรรม ประเพณี ระบบความคิดความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม อุดมการณ์ ความคิด ทั้งหมดพัง พังทั้งหมด ยึดไว้ ถือไว้ ถือมั่นไว้พัง เพราะเป็นทุกขัง เมื่อโน้มหรือระลึกดีๆ จะเห็นว่าสิ่งต่างๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มี ใช้และเล่นแสดงไปตามเหตุปัจจัย ไม่ควรมั่นหมายเพราะสิ่งที่มั่นหมายจะพัง ทำให้เราสุขขณะหนึ่งแล้วก็ดับไป หากอายุมากๆจะเห็นแจ้งชัดมาก เพราะได้ใช้ไม่กี่คืนวันก็ต้องจากไป เราทั้งหลายไม่ควรแสวงหาจนเกินไป ดิ้นรนจนเกินไป และแบกศักดิ์ศรีเกียรติภูมิน่าตาจนเกินไป เพราะบรรดาสิ่งเหล่านั้นทำให้เราทั้งหลายเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ทรมาน บางครั้งอาจไปเบียนเบียนชีวิตมนุษย์สัตว์อื่น และต้องไปเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้สิ้นกี่ภพภูมิ ณ ชาตินี้เหลือเวลาอายุน้อยลงทุกทีแล้ว เราทั้งหลายเดี๋ยวก็สลายหายกันไปทั้งหมด สิ่งที่มีที่เป็นที่ทำมาทั้งหมดต้องถูกเททิ้งทั้งหมดเมื่อลมหายใจหมด เราทั้งหลายควรรีบตื่นและพิจารณามองดูโลกที่กำลังจะจากเราไปอย่างไม่หวนคืนกลับ แต่ธรรมหรือธรรมของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่(พระองค์เป็นผู้ทรงค้นพบและชี้บอกทาง พึงเดินตามทางที่พระองค์บอก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีผู้ใดทำให้เราบริสุทธิ์ได้ นอกจากตัวเราเอง)

๑๗.เราไม่ควรให้ความแก่ ความเจ็บ ความตาย.......มาหยุดการมีและเป็น เพราะจะรับไม่ได้ ทนไม่ได้ เราทั้งหลายต้องระลึก
พิจารณามองโลกให้ว่างเปล่า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งหมดหายหมด อยู่กันคนละแวบ คนละแวบ(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)เสพความว่าง เสพความตายให้คุ้นเคย เมื่อนั้นเราทั้งหลายจะอยู่เหนือความตาย เริ่มเตรียมและหาอุบายหรือวิธีจากทรัพย์หรือสิ่งผูกพันใดๆ เพื่อมิให้จิตวิญญาณช้ำไปมากกว่านี้......มนุษย์มีเวลาน้อย........บ้างก็เหลือไม่กี่วัน ....กี่ปี....ถ้าอายุมากหรือเป็นผู้สูงอายุจะควรจะดีใจให้มากเพราะจะไม่ต้องเหนื่อย ต้องดิ้นรน ต้องแบก ต้องแสวงหาและก็ไม่ต้องประชันกับผู้ใด สบาย สบาย.. อนึ่ง อายุมากๆ ไม่ควรสร้างเหตุให้มีผลหรือภาระในอนาคตเพราะจะมีปัญหาเมื่อแตกดับ ชีวิตจบ ชีวิตหมดต้องยอมให้จบและหมดที่สำคัญต้องคำนวณดีๆ เช่น อายุมากไม่ควรมีบุตรเพราะเลี้ยงไม่ทันไรหรือลูกยังไม่โตก็ต้องจากโลกนี้ไป หรือมีบ้านหลังใหญ่แต่นอนได้ไม่กี่คืน แถมดิ้นรนหาทรัพย์หรือผ่อนส่งมาทั้งชีวิต

๑๘.ของไม่จริงบดบังของจริง ไม่ว่ากันก็ทำกันไป ก็อยู่กันไปก็เป็นกันอย่างนี้ เราไม่ควรหลอกหรือลวงกันไปวันหนึ่งๆเพราะอยู่กันไม่นาน เรามาอาศัยโลกอยู่ ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกและไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกาย เพราะเราบังคับบัญชากายไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายไม่ได้ ค่อยๆหากินกันไป มนุษย์มีเวลาน้อย มีอะไรก็ต้องรักษา กรรม..

๑๙.ปัญหาเป็นสิ่งภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เราแก้ปัญหาในใจเราได้ เตือนมันบ่อยๆ สอนมันบ่อยๆ คุยกับมันบ่อยๆ(คำว่า มัน หมายถึงใจหรือจิต) ว่า เช่นนั้นเองๆ มันเป็นเช่นนั้นเองๆ ธรรมดาๆ ทุกคนทุกข์ทั้งหมด ไม่ควรเพิ่มทุกข์ให้แก่กัน ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ได้ดังใจก็ทุกข์แล้ว  ความไม่สบายกายไม่สบายใจเกิดตลอดเวลาเหตุที่ไม่รู้เนื่องจากจิตเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน คิดไปอดีตบ้าง อนาคตบ้าง พอมาปัจจุบันก็หงุดหงิด ก็วิตก ก็ไม่ได้กำหนดจึงหลง สรุปหาใจไม่เจอ......

๒๐.สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น(ปัญหาหรือทุกข์น้อยใหญ่)มีเหตุมีปัจจัย มันเป็นเช่นนั้นเอง(เหตุปัจจะโย......)ปัญหาบางเรื่องถึงไม่แก้มันก็ดับไปเอง บางเรื่องต้องให้ปัญหาใหม่มาแก้ปัญหาเก่า บางเรื่องต้องให้ปัญหาเกิดสะสมมาก พัง จึงแก้ได้ ทุกคนมีปัญหากันทั้งนั้น แล้วทำไมต้องมีปัญหาแก่กัน ทุกข์ยังไม่พอใจใช่ไหม อายุนานมากใช่ไหม อยู่นานมากใช่ไหม จะไม่ตายใช่ไหมและเข้าใจว่าสุขเรื่อยไปๆใช่ไหม(ไม่เที่ยง) เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราต้องแก้ปัญหาไปตามเหตุตามปัจจัย แค่ไหน แค่นั้น(ตามกำลังและสิ่งที่เกื้อกูลอยู่)ถ้าจะต้องพังหายนะก็ต้องให้เป็นไปตามเหตุ เราหยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราจะรักษาสถานภาพเดิมไม่ได้ ได้เท่าเดิม มากกว่าเดิม ดีเท่าเดิม ดีกว่าเดิม)เราต้องระลึกว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เราต้องรีบตื่นหันหน้าดูตาดูใจดูความรู้สึกกัน เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความสุขและเติมความสุขให้แก่กัน เราทั้งหลายเหลือเวลาชีวิตน้อยมากแล้ว ย้อนหวนคืนกลับไม่ได้ เราไม่ต้องทำลายผู้ใดเพราะเพียงแค่ให้ยืนเฉยๆหรือมีอะไรเกาะยึดก็ได้ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรายืนไม่ไหว ล้มลงกองตรงนั้น มีกองกระดูกกองตรงนั้นและกรอบเกรียมเป็นดินและฝุ่นหายไป....ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา

๒๑.เรากำลังถูกไตรลักษณ์(ไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน)บดขยี้ให้หายไปจากโลก เราหยุดมันไม่ได้ เราพอชะลอได้แต่ก็ไม่พ้นภัยตัวอื่นๆ  เช่น อุบัติเหตุหรือถูกยิงตาย หรืออวัยวะน้อยใหญ่ดับหรือหยุดทำงานลงเฉยๆ

๒๒.เมื่อไม่มีก็ปรารถนาเป็นทุกข์ เมื่อมีแล้วก็มารักษาเป็นห่วงผูกพันไม่อิสระเป็นทุกข์ เมื่อเสื่อมไปแตกไปดับไปหายไปก็ทุกข์ สรุปถ้ามีแล้วเป็นทุกข์ไม่พึ่งมี

๒๓.พุทโธ โอ้โห!!! ธัมโม โอ้โห!!! สังโฆ โอ้โห!!! เป็นที่พึ่งแห่งจิตวิญญาณ (โอ้โห!!! คือการอุทานในความตะลึงแห่งธรรมเป็นที่สุดแห่งที่สุด)เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น ทำกรรมใดใจก็ปรุงแต่งนึกคิดเช่นนั้น มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่เหลือเชื่อระหว่างรูป(วัตถุธาตุ)และอรูปหรือนาม ปัญญาทางโลกเข้าถึงเพียงวัตถุธาตุ อนุภาค พลังงาน คลื่น รังสี ควอนตัม  ปรมาณู และที่สำคัญดับทุกข์ใจไม่ได้ และต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตามภพภูมิต่างๆ ไม่รู้กี่อสงไขย เราทั้งหลายอยู่ ณ จุดๆหนึ่งของเส้นทางเวลาอนันต์ ย้อยเวลาไม่ได้ พึงรีบตื่นฟังธรรม ปฏิบัติธรรม อดีตที่ผ่านมาไม่เป็นไรเดินเครื่องได้เหมือนกัน อาทิ ดังองค์คุลีมาล...... อนึ่ง พึ่งโน้มพิจารณาก่อนมิควรแย้ง แก่นธรรมพิสูจน์ทดลองได้ ไม่มีเงื่อนงำ ตัวพระองค์กับสาวกและพุทธบริษัท เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช มีหลักฐานประวัติศาสตร์เชื่อมโยงร้อยต่อกันมาไม่ขาดช่วง ทุกวันนี้ของจริง(แก่นธรรม)ถูกบดบังด้วยของไม่จริงหรือของเคียง เช่น พิธีกรรม วัตถุมงคล ความเห็นผิด 

๒๔.ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม ปัญญาระดับภาวนาจะเกิดต่อเมื่อมีเหงื่อ มีน้ำตา มีเลือด มีเครียด มีการสูญ(ร่างกายหรือทรัพย์สิน)หรือหายนะเสียก่อน จึงจะมีสติหรือมาแก้ไขกันหรือถ้อยคำที่ว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา จึงไม่ควรให้ความเจ็บปวดความทรมานหรือความพลัดพรากสูญเสียและชะตากรรมสอนหรือสั่งสอนเราแล้วจึงมาแก้ไขกันหรือกรรมใดที่ทำแล้วทำให้จิตเศร้าหมองพึ่งเว้นเสีย.....ตรงนี้เป็นปัญญามิให้เกิดขึ้นอีก เช่น งานค้างจะวิตก หรือทำไมไม่สุดทางแห่งชิ้นงานก็วิตก จิตไม่โปร่งไม่โล่ง ไม่แปรงฟันฟันก็พุ ปวดฟัน พูดไม่ดีย่อมมีเรื่อง หรือมีปัญหา....

๒๕.บ้านหลังนี้เราจะนอนได้สักกี่คืน รถคันนี้เราจะขี่ได้สักกี่ครั้ง สิ่งที่มีที่เป็นจะได้ใช้และดำรงสักกี่ครั้งและกี่เพลา และคนที่เรารักจะอยู่กับเราได้นานเพียงใดหนอ อีกไม่นานหนอ เราทั้งหลายก็ไม่ได้พบไม่ได้เห็นไม่ได้ยินไม่ได้รับรู้ทั้งในและนอกตัวเรา เราทั้งหลายมีตัวตนชั่วขณะหนึ่งๆที่ได้มารวมตัวกันในอาณาจักรแล้วก็แตกดับสลายหายไปอย่างไม่หวนคืนกลับ ควรยังประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น (โทษของความปรารถนาหรือความอยากมีความเจ็บแบบหนาวเหน็บและซ่อนความเจ็บไว้ คลายช้า,โทษความโกรธเห็นชัดเจน สิ่งของพังและคนเจ็บและตาย คลายเร็ว ส่วนโมหะมหันตภัยอนันต์ชาติ บ้า จม หลง)

๒๖.ตวงเวลาให้กับจิตของเรา ใฝ่ในกุศลให้มาก จิตอันใดที่น้อมไปอกุศลพึงหักห้ามใจเสีย สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจะออกแบบเพียงใดหรือไม่ก็ตามล้วนดับไปเป็นธรรมดา มีมากต้องรักษา จิตทำงานเยอะ ใจจะสงบได้หรือ.....บ่มอินทรีย์...ไม่พึงยินดียินร้ายในโลกทั้งสอง(สุขทุกข์) สมมุติทั้งชื่อและรูปเพียงแต่ใช้ไปตามเหตุตามธรรมคุณากร(รูปังอนิจจัง สัญญาอนิจจัง....) ถ้าทำกรรมไม่ดีใจก็ถูกหลอกหลอนเมื่อมีอายุมากๆ หรือขณะอยู่คนเดียว....เป็นธรรมที่พิสูจน์ได้..

๒๗.เมื่อแสวงหามากขึ้น ดิ้นรนมากขึ้นและแบกมากขึ้น ความไม่จริงใจและความเบียดเบียนการทำลายล้างกันก็ย่อมเกิดมากขึ้นเป็นธรรมดา เราทั้งหลายพึงอดทนมีสติและความเพียร พึงแก้ปัญหาไปตามเหตุตามปัจจัย สิ่งเช่นว่านั้นจะคลายตัวดับลงไปเอง การเป็นมนุษย์ไมใช่ของหมูๆ โดยเฉพาะผู้หญิงร้อยละ ๗๐% ๘๐% ทุกข์กับคู่ครอง เจ็บยาวๆ(ผ่านหลายขั้นตอนของชีวิต)ไม่มีผู้ใดสุขจริงๆ ถ้าชมเพียงเปลือกนอกหรือมองภายนอกจะดูงามเพราะเหตุประชัน แต่ละคนต่างมีกรรมทั้งนั้น.....

๒๘.เราไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เราไม่รู้ว่าจะตายด้วยโรคอะไร เราไม่รู้อีกว่าจะได้แก่ตายหรือไม่ และเราก็ไม่รู้ว่าจะตายเพราะอุบัติเหตุหรือไม่ เรารู้แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง เรามีความตายเป็นที่สุดรอบ แต่เราก็ไม่รู้อีกว่าจะตายที่ไหน และปัจจุบันเราไม่รู้เลยว่าเราอยู่ที่ไหนและมาจากที่ใด และที่สำคัญเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปไหน......เรากำหนดภพภูมิไม่ได้เลย...แล้วจะตั้งตนตรงไหน....ดับไปเกิดใหม่ จะเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ และจะได้พบได้ยินพระธรรมหรือไม่......เราทั้งหลายพึงรีบตื่นฟังพระสัทธรรมเพื่อเข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้อง และรู้สภาพปรากฏตามความเป็นจริง ย้อนเวลาไม่ได้......เวลาอนันต์.....อยู่กันคนละแวบ

๒๙.เมื่อสำเร็จความโกรธแล้ว ย่อมทำจิตเศร้าหมอง พึงชำระความโกรธด้วยปัญญา....เห็นทุกข์โทษภัย แจ้งเหตุปัจจัย หรือใช้เมตตาดับเย็นให้แก่ใจดวงนี้(โกรธเขาเราร้อน เมตตาๆ โกรธเขาทำไมเขาทุกข์อยู่แล้ว)

๓๐.เราอายุไม่ยืน เราอยู่ได้ไม่นาน เราเหลือเวลาชีวิตไม่เท่าไร เมื่อระลึกจะตัดกระแสยึดเกาะสิ่งใดๆ โกรธก็หายโกรธ เหนื่อยก็หาย เมื่อระลึกต่อเนื่องจะอิสระ ใจจะว่าง จิตไม่วาง(พอใจยินดีกับสิ่งต่างๆ ข้อง ติด ยึด) ใจไม่ว่าง(ปรุงแต่งนึกคิด ไม่สงบ) จิตไม่ว่าง อิสระทางจิตใจไม่มีอายุมากๆไม่พึงสร้างเหตุให้มีผลในวันข้างหน้าเพราะเวลาไม่พอ อยู่คนละแวบจริงๆ ร้อยปี พันปี แสนปี....คนรุ่นใหม่ก็มาแทนที่หลายรุ่นแล้ว และก็ไม่รู้จักเราด้วย

๓๑.สังคมต้องหยุดรังแก หยุดบีบคั้น หยุดลวง หยุดหลอก หยุดล่อ(ล่อให้เด็กๆซื้อวัตถุธาตุจนหนี้ท่วมหัว)และที่สำคัญต้องหยุดความอยุติธรรม

๓๒.การรักษากายเป็นเรื่องใหญ่ การรักษาใจเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด อีกไม่นานสิ่งที่เราเห็นก็ไม่เห็น สิ่งที่เราได้ยินก็ไม่ได้ยิน...เราทั้งหลายต่างทยอยเดินทางออกจากโลกใบนี้ และหากทำกรรมไม่ดีเราก็ต้องเดินทางเป็นเวลาอนันต์ๆ สิ่งต่างๆที่เรามีเราเป็นก็ขนไปไม่ได้นอกจากบุญกุศล เราทั้งหลายไม่พึงเหนื่อยกับมันอีกแล้ว สิ่งใดที่มีแล้วเป็นทุกข์พึ่งทยอยละหรือระบายออกเสีย เพื่อให้ทันกับเวลาชีวิตที่กำลังใกล้จะหมดเพื่ออิสรภาพทางจิตวิญญาณและไปสู่ภูมิภพที่งดงามต่อไป

๓๓.เหตุใด หรือสิ่งใด หรือทำไมเราต้องคิดจนตาย พูดจนตาย ทำจนตาย เหนื่อยจนตาย สุดท้ายชีวิตได้อะไร ที่สุดแห่งชีวิตอยู่ตรงไหน ทำไมไม่หาความพอดี จิตวิญญาณจะไม่ได้บอบช้ำและเมื่อแตกดับก็จะไม่เป็นผีร้องไห้.....

๓๔.เราจักต้องไม่อยู่ร่วมกันอย่างผีๆ เปรตๆ สัตว์ๆ(ผีคือโกหกไม่จริง,เปรตคือยาก และสัตว์คือเคืองฆ่าสังหาร เบียดเบียน)

๓๕.หลังความตายมีกี่คนที่พูดถึงเรา หลังความตายไม่กี่ปีคนก็ลืมเรา หลังความตายคนรุ่นใหม่ๆก็แทนที่ เราเกิดมาเพื่อเดินออกจากโลกเพียงดื่มอาบเคี้ยวกินใช้สอยเสร็จแล้วก็ไป เราทั้งหลายไม่พึงมั่นหมายจนเป็นทุกข์เพราะมนุษย์มีเวลาน้อย และบางก็เหลือเวลาชีวิตน้อยมากแล้ว สิ่งต่างๆที่ถูกกำหนดจัดตั้งเป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ให้เราทั้งหลายต้องเล่นไปตามเหตุตามปัจจัย สุดท้ายไม่มีใครได้อะไร พึงมาชำระจิตให้ขาวรอบกันดีกว่า ...เช่น อกุศลเกิดแก่จิตพึงรีบดึงกลับชำระเสีย ประคองจิตมิให้ไหลไปทางอกุศล และมั่นเจริญและรักษากุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป พึงกำหนดรู้ กำหนดจิตบ่อยๆ หรือตลอด สติเป็นธรรมเอก ต้องไม่หลงลืมสติ พึ่งทำให้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย

๓๖.จิตใจไม่ได้พึ่งวัตถุแต่พึ่งคุณธรรมหรือบุญกุศล เมื่อใจพึ่งวัตถุใจก็ไร้ที่พึ่งเหมือนปลาขาดน้ำ คนขาดธรรมจิตวิญญาณจะอยู่ได้อย่างไร เช่นเศรษฐีมีเงินเป็นล้านๆ หรือมีอำนาจ เหตุไฉนจึงทุกข์หรือดับทุกข์ไม่ได้ คนทำบุญช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ใจปีติ คิดเมตตาทำให้ใจเบา คิดโกรธ พยาบาท อิจฉา ทำไมใจจึงร้อน....ไม่มีธรรมไม่มีที่พึ่ง....

๓๗.มนุษย์โลกทุกวันนี้แย่งชิงมากกว่าแบ่งปัน วุ่นวายมากกว่าสงบ เบียดเบียนมากกว่าเมตตา ดิ้นรนมากหยุดนิ่ง(หากินตามเหตุตามปัจจัยตามกำลังตามสภาพตามบริบท) แสวงหามากกว่าละวาง ความรักความจริงใจในหมู่มนุษย์ชั่งหาได้ยากเหลือเกิน จะหาผู้ที่มองความดับ ความแตก ความไม่เที่ยงก็มีน้อยเต็มที หรือไม่ก็แทบจะไม่มีเอาเสียเลย เราทั้งหลายเหมือนประหนึ่งกำลังอยู่ในสมรภูมิรบ 

๓๘.ปัญหาใหญ่ของมนุษย์คือความคิด(การปรุงแต่งของจิต) คิดดี(กุศล)ใจสบาย คิดเคือง หงุดหงิด โกรธ พยาบาท อิจฉา ปรารถนา คับแค้น ฟุ้งซ่าน วิตก ก็ร้อนดิ้นรนกระวนกระวาย ห่อเหี่ยว ใจจึงฟูและแฟบ และถ้าทำกรรมไม่ดีจะคิดดีคิดบวกไม่ได้ เพราะสัญญาหรือความจำได้หมายรู้ในสิ่งที่ทำนั้นจะหลอนหลอก และที่สำคัญจะหยุดหรือเบรกความคิดหรือชำระอกุศล(กิเลสน้อยใหญ่...เคือง ปรารถนาคือทุกข์)ได้อย่างไร ....คำตอบ    คือต้องมีศีลและฝึกสติ(สติปัฏฐาน ๔)เพื่อให้เห็นจิตในจิตจะได้ตรวจจับหรือหยุดกระแสความคิด เมื่อตรวจจับได้แล้วก็ใช้ปัญญาดับหรือชำระจนเคือง(กิเลส)น้อยลงและดับไป(กิเลสมีหลายตัว)....เราทั้งหลายต้องเหนื่อยกับใจดวงนี้เรื่อยๆ ไป...ถ้าเข้าไม่ถึงแก่นธรรม ธรรมขั้นต้นคือละชั่วทำดี ธรรมขั้นสูงคือจิตบริสุทธิ์ เพียรระวังมิให้อกุศลเกิดแก่จิตหากเกิดก็รีบดับ(ต้องมีปัญญาดับ) และเจริญรักษากุศลเกิดแก่จิต(ปัญญาจะเกิดเมื่อเรียนรู้อบรมฝึกฝนสังเกตพิจารณา)ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา พิสูจน์ตรวจสอบได้เชิงประจักษ์....

๓๙.หลายคนเข้าใจว่าความสุขจะมาสุขปั้นปลาย เข้าใจผิด ความสุขต้องมีทุกข์ตามมา วันไหนเราไม่มีความสุข วันนั้นเราขาดทุนทางจิตวิญญาณ เราอาจกำไรได้นี้นั้นโน้น มันเป็นเพียงทำหรือบำบัดให้แก่ร่างกาย แต่เวลาชีวิตเราได้หมดลงแล้ว แล้วที่เหลือ กี่วัน กี่คืน กี่ปี ชีวิตหมดทรัพย์ก็หมด ถึงหาให้ลูกให้แล้วก็ยังห่วงอยู่จิตไม่อิสระ...อุตส่าห์แสวงหาดิ้นรนได้มา....เหนื่อย...หากินตามเหตุตามปัจจัยตามกำลัง...ดี....มนุษย์มีเวลาน้อย มีสิ่งใดก็รักษา

๔๐.สัตว์โลกถูกมฤตยูหำหั่นถูกชราปิดล้อมเอาไว้ โลกจึงเป็นสุสาน เราทั้งหลายเหมือนถูกขังตายอยู่ในโลก เพียงเกิดมาชั่วแวบหนึ่ง เหตุใดจึงเข้าใจว่าเป็นเจ้าของสิ่งนี้สิ่งนั้นสิ่งโน้น เรามาเที่ยวเล่นพักหนึ่งแล้วก็ไป(ปัจจุบันเราอยู่ ณ จุดๆหนึ่งบนเส้นทางเวลาอนันต์ ย้อนเวลาไม่ได้ เวียนวายตายเกิด โลกคือหมู่สัตว์)

๔๑.เมื่อถูกเบียดเบียนให้คิดเสียว่า มันเป็นกรรมของสัตว์เป็นคราวเคราะห์ของเรา,เราเคยเบียดเบียนกันมา,มันเป็นกรรมของวัฏฎะ,กรรมๆ,เช่นนั้นเองๆ,มันเป็นเช่นนั้นเองๆ,หมู่สัตว์ๆ,ธรรมดาๆ,สงสารๆ,ไม่เป็นไรๆ,นานๆที,หรือหาถ้อยคำใดๆเพื่อให้ใจหยุดคิดปรุงแต่งคับแค้นขัดข้อง แต่ถ้าใช้ปัญญาก็ต้องพิจารณาหาเหตุปัจจัยต่างๆ เพื่ออธิบายให้แก่จิตหรือใจยอมรับตามความเป็นจริง(การปรุงแต่งจิตแต่ละครั้งเสียพลังงานมากเมื่อมีสิ่งภายนอกที่ไม่พอใจมากระทบทำให้จิตขัดข้องหรือวุ่นวายหรือดิ้นรน)

๔๒.เราเป็นใบไม้ถูกสลัดใบเมื่อใดไม่รู้แต่เข้าใจว่าต้นไม้เป็นเรา เราอาศัยอยู่บนแผ่นดิน แต่เข้าใจว่าแผ่นดินเป็นของเรา เราทั้งหลายต่างโคจรมาพบกันอยู่ชั่วขณะแล้วก็แยกย้ายสลายหายกันไป เราทั้งหลายอาศัยอยู่ในอาณาจักรมนุษย์ชั่วขณะหนึ่งๆเหมือนกลุ่มแมงเม่าที่มาเล่นไฟแล้วก็แตกสลายดับลงไป จึงไม่ควรทุกข์โศกรำพันอาลัยกับของรักของชอบใจจนเกินไป หรือมั่นหมายกับสิ่งใดๆจนเกินไปจนเป็นทุกข์ หรือจนต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อแลกเอามา....เราทั้งหลายเหลือเวลาชีวิตน้อยมากแล้ว บ้างเหลือเท่ากับปลายหัวไม้ขีดพร้อมที่จะจุดไฟ....(มีมากเป็นทุกข์)

๔๓.เมื่อเพลิน หรือติดหรือข้องอยู่กับสิ่งทีชอบใจ สิ่งที่รักและความสุข จะถูกสิ่งที่ไม่ขอบใจ สิ่งที่ไม่รักและความทุกข์เข้าครอบงำเพราะสิ่งต่างๆล้วนไม่เที่ยงไหลไปสู่ความเสื่อมและพังลง เราทั้งหลายพึ่งมีเท่าที่จำเป็นและต้องใช้เพื่อลดเป้าแห่งทุกข์(มีสิ่งใดก็ทุกข์กับสิ่งนั้น ที่สำคัญสิ่งที่ได้มาในวันนี้คือสิ่งที่จากเราไปในวันข้างหน้า)

๔๔.เมื่อเราไม่ระลึกถึงความตายเสียแล้ว เมื่อถึงคราวจะต้องตายใจก็เศร้าหมอง เพราะมิได้เตรียมการหรือคำนวณภารกิจของชีวิต    หรือเข้าใจสัจธรรมดังนั้น   หากเสพคุ้นกับความตายบ่อยๆหรือระลึกถึงความตาย(มรณัสสติกรรมฐาน)นอกจากปลุกสติให้ตื่นและสามารถตัดกระแสกิเลสน้อยใหญ่ได้แล้ว เมื่อถึงคราวตายจิตก็สงบไม่หวั่นไหวย่อมไปสู่ภูมิภพที่งดงาม....(ถ้ากรรมไม่มีจริง บาปบุญไม่มีจริง นรกสวรรค์ไม่มีจริง.....ชีวิตสิ้นสุดกันที่เชิงตะกอนเสียแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ต้องมีก็ได้เพราะทุกสิ่งมันจบเอง สิ้นไปเอง ดับไปเอง)

๔๕.ถ้าไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้ามีจริง ขอทวงคืนสิ่งต่อไปนี้
๑.พระธรรม พระไตรปิฎก
๒.พระอริยสงฆ์และพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ
๓.โบสถ์ ศาสนสถานทั้งหมด
๔.พระพุทธรูป พระเกจิวัตถุมงคลทั้งหมด
๕.พิธีกรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายรวม ตลอดถึงบทสวดมนต์ต่างๆทั้งหมด
๖.พุทธบริษัททั้งหมด
๗.หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งหมด
๘.ระบบความเชื่อความคิดศีลธรรมคุณธรรมทั้งหมด
๙.วรรณกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรมทั้งหมด ไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม
๑๐.สิ่งต่างๆที่เกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธทั้งหมดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

บทความที่ได้รับความนิยม