วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๑๘


                       
สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๑๘

๑.เสียดายเวลาชีวิตที่ใช้ไปและใกล้จะหมด เสียดายทรัพย์ที่หามา เสียดายในสิ่งที่ต้องการแล้วไม่ได้ เสียดายที่ได้แต่พบวัดวาอาราม แต่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ไม่เห็นหนทางที่จะนำจิตออกจากวัฎฎะ“ กิเลส กรรม วิบาก”

๒.การปฏิบัติธรรมคือ การฟังธรรมให้เข้าใจ,รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และการดำเนินชีวิตที่ชอบ เช่น รู้หน้าที่มีวินัย ไม่ใช่ปฏิบัติที่ท่า แบบ วิธี สถานที่ ชุดที่สวมใส่ ตำราบทสวด ตัวหนังสือ คำบริกรรม หรือรูปหล่อเหรียญผง แต่นั้นก็เป็นอุปกรณ์และสีสัน

๓.ผู้อ่อนน้อมถ่อมตนย่อมเป็นที่รักเป็นผู้มีเสน่ห์และมีบุญ ส่วนผู้แข็งกระด้างขาดสัมมาคารวะก็ไม่เป็นที่รัก เป็นผู้ที่มีเวรและมีบาป

๔.เมื่อไม่ได้เจริญอยู่ด้วยบุญกุศล เราก็เสียเกียรติของจิตวิญญาณ ภูมิจิตภูมิธรรมเราก็ไม่ได้เจริญขึ้นดีขึ้น

๕.ชีวิตหลังเกษียณต้องเตรียมดับ รักษาร่าง หาอุบายวิธีจาก หรือสละ ลาสิ่งสมมุติของโลก ไม่สร้างเหตุสิ่งผูกพันภาระใดให้มีผลต่อวันข้างหน้า ใจก็สงบ ว่าง อิสระ เมื่อดับก็สบายไปสู่สุคโต

๖.มนุษย์ที่มีกิเลสเชื่อได้ครึ่งเดียว อีกครึ่งอย่าตายใจ ถ้าตายใจก็ขุดหลุมฝั่งตนเอง

๗.ธรรมะไม่ได้อยู่ที่การเอาปิ่นโตไปถวาย ไปตักบาตร เป็นประธานกรรมการทอดกฐิน ทำวัตรเช้าเย็น หรืออยู่ที่บทสวด ท่องบริกรรมภาวนา แต่นั้นเป็นพื้นธรรม ไม่ใช่เนื้อธรรมที่ต้องฝึกกายให้มีศีล ฝึกสติให้มีธรรม ให้เข้าใจลักษณะ สภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะ ขณะๆ...หรือรอบรู้ในกองสังขาร

๘.เหรียญนี้ยิงไม่ออก ตะกรุดนี้ฟันไม่เข้า ยันต์นี้คุ้มภัย คำหมากนี้ก็ไม่ตาย แล้วอุบัติเหตุโรคภัยยาพิษไม่ตายหรือ แต่ที่แน่ๆผู้ปลุกเสกได้ตายไปแล้ว บอกความจริงแก่ลูกหลานได้แล้ว ลืมผมขนฟันเล็บหนังแล้วหรือ เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปไว้ที่ไหน หรือจะเอาน้ำเต้า นางกวัก ชูชกดีไหมจะได้รวยเฮงๆ มีศีลมีความคุ้มครองดีกว่ามีเครื่องรางของขลังทั้งหมด ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
๙.อย่าไปหวังอะไรกับมนุษย์ปุถุชน แม้จะทำดีเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่ได้ตอบสนองกิเลสตัณหาให้แก่เขาเสียแล้ว เขาก็จะไม่ยกย่องเราขึ้นมา แต่เขาจะยกย่องผู้ที่สนองเขา

๑๐.เราบังคับผม ขน เล็บไม่ให้ยาว บังคับฟันไม่ให้ผุ หลุดก็ไม่ได้ บังคับหนังไม่ให้เหี่ยวแห้งย่นก็ไม่ได้ บังคับอวัยวะน้อยใหญ่ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้มีเชื้อโรคก็ไม่ได้ และบังคับใจไม่ให้ส่งออกปรุงแต่งก็ไม่ได้ บังคับให้ฉลาดให้รู้ก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดปรากฏดับ แวบๆ

๑๑.เมื่อร้อยปี พันปี แสนปี.....ปี ที่แล้วมาตำแหน่งนี้ เก้าอี้นี้ ยศนี้ สถานที่นี้ ชุมชนนี้ แบบแผนนี้ ภาษานี้ แนวคิดนี้ ผู้มีชื่อนี้ สิ่งนี้....นี้ ก็ไม่มี และเมื่อผ่านไปร้อยปี พันปี แสนปี...อนันต์ปี สิ่งเช่นว่านี้ โลกนี้ก็ไม่มี ทั้งหมดเป็นเพียงเมฆหมอก หรือตำนาน

๑๒.กำหนดรู้จิตในจิต ใจที่นึกคิดส่งออก รู้ทุกข์ เหตุที่ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์ไปทำไม แล้วทำไมจะต้องทุกข์

๑๓.ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ความหมักหมมพอกพูนก็ไม่เกิด ทั้งไม่ต้องมาเดือนร้อนใจ มาประมาทมาขยายภพชาติให้ไกลออกไปอีก

๑๔.ไม่พอใจชีวิต เราก็สะกดจิตไปทางอกุศล ใจเราก็ถูกทำร้าย แต่ถ้าเราพอใจในชีวิตเราก็จะติดหลงอยู่ในภพ

๑๕.เอาเครื่องประทินผิวมาปกปิด เอาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับมาปกปิด เอาฐานะอาชีพตำแหน่งบทบาทมาปกปิด เอาคำพูดการกระทำมาปกปิด เอาตัวเลขเอาสถิติหลักการวิธีการมาปกปิดซึ่งธาตุแท้หนังแท้สิ่งที่แท้ แต่ใจของเราก็รู้ ลิเก ลิเกๆๆ

๑๖.ยิ่งได้ยิ่งอยาก ยิ่งมากยิ่งต้องการ ชีวิตถูกใช้จนตาย แต่ถ้าไม่ได้แล้วยิ่งอยาก ชีวิตก็ยิ่งดิ้นกับถูกบีบรัดจนตาย ไม่อยาก เบา อิสระ

๑๗.มีสติตามรู้เท่าทันความคิด อารมณ์ในขณะปัจจุบันที่ปรากฏ ก็เพื่อตัดกระแสกิเลส ชีวิตก็ไม่ตกเป็นเหยื่อ เมื่อปัญญาเกิดก็ดับมันได้

๑๘.ใช้ชีวิตมีชีวิตมีทรัพย์ ไม่มีอริยทรัพย์เราก็หลง ไม่มีข้อมูลที่จะไปปรโลก ไม่มีโอสถทิพย์ เราก็มืดไปร้องไห้ไป

๑๙.ไม่เข้าใจธรรม เราก็แบกโลกเพราะไม่รู้ความจริง มาหลงกับสิ่งที่ปรากฏจนหมดเวลาชีวิต (เกิดมาเพื่อตาย ไม่ได้มาต่อสู้กับความตาย เสียของเสียดายชีวิต)

๒๐.คบคนเป็นคน คบสัตว์เป็นสัตว์ คบเทพเป็นเทพเป็นตัวชี้ขาดหรือจุดเริ่มต้นที่จะไปนรกหรือสวรรค์เพราะเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ประกอบนำไป เกื้อไป อาศัยไป จูงไป ดำเนินไป ไป

๒๑.รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ในสิ่งที่ทำรู้ในคำที่พูดรู้ใจที่นึกคิดมีสิ่งที่กระทบสัมผัสก็รู้ เกิดกุศลอกุศล รู้ภายในอยู่อย่างนี้ ปัญญาก็เจริญ ไม่ใช้มารู้สิ่งข้างนอกแต่ก็ยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้

๒๒.เราต้องเอาบุญ หรือศีลสมาธิปัญญาไปต่อสู้กับความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ใช่มาต่อสู้ หรือเอาชีวิตมาแลก หรือทิ้งกับบ้าน รถ ยศ หรือเอกลาภทั้งชีวิตที่ไม่ได้ทำให้สิ้นออกจากทุกข์ แล้วก็ดับจบไปภพหนึ่งๆที่ไม่รู้ทางออกจากวัฏฏะ

๒๓.เมื่อเจริญอยู่ในธรรมก็ได้สิ่งที่ประเสริฐ ใจก็สูงขึ้น ดีขึ้น เจริญขึ้น สว่างไสว ดับไฟในใจที่เกิด ไม่ต้องไปแย่งคับแค้นเสียใจอะไรหรือสิ่งใดๆแล้ว ได้เห็นแล้วสิ่งใดที่สูงสุด ดีสุด เลิศประเสริฐสุด

๒๔.คบคนไม่มีศีล เขาก็เห็นแก่ตัวหาเอาเข้าตัว จะเบียดเบียนเราหลอกเราพูดไม่ดีกับเรา และทำร้ายเราได้

๒๕.เห็นคนสวย คนรูปหล่อก็กำหนดระลึกอสุภะพังผืดตกขาว ศพๆ หรือมองทะลุแป้ง แก้ม หนังก็เห็นกายในหรือมโนทุบหัวก็เห็นกะโหลกเยื่อในสมองไขมัน ก็คลายความยินดีติดข้องในรูป

๒๖.หาสุขจิตก็ยังไม่หมดกิเลส

๒๗.กล่าวหรือประจบเพื่อหวังในทรัพย์เอกลาภ เสียสกุล ไม่ใช่วิสัยของสมณะ ผู้เห็นความดับ หรือผู้เดินออกจากโลก

๒๘.เขาทำอย่างไรก็เป็นกรรมของเขา ถ้าเราไปตำหนิถือโทษจิตเราก็ขุ่นมัวมีบาปอกุศล ต้องปล่อยให้วันเวลาเหตุการณ์ ความเจ็บ ความสูญเสียหรือกฎกรรมหรือภพภูมิสั่งสอนเขาเอง

๒๙.เมื่อเราอยากมีมากกว่าเดิม ก็จะนอน กิน พัก คิด....อิสระน้อยกว่าเดิม จะเหนื่อย วุ่นวาย คิดมากกว่าเดิม ชีวิตก็เสีย

๓๐.เมื่อทำกรรมไม่ดี ใจก็ไม่ดี ไม่สงบ หรือสั่งสมเหตุที่ไม่ดีสัญญาก็มากจิตก็ปรุงแต่งมากไม่หยุดจะเหนื่อย เราก็ทำร้ายใจตนเอง

๓๑.อย่าไปเหนื่อยกับกิเลส ชีวิตใกล้อัสดงแล้ว จงตื่นมามองดูโลกที่ต้องจาก

๓๒.ให้น้ำหนักเรื่องกฎกรรมมากกว่าเรื่องปากท้องใจก็สบายใจ เมื่อไปภพหน้าก็จะมีบุญพาไป วาสนาส่งไปในภพภูมิที่ดี ได้ชื่อว่า “เกิดมาชอบแล้ว”

๓๓.คนที่เขาแก่กว่าเรา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี.....เขาไปไหนกัน เขาได้กำหนดรู้ หรือรู้ความจริงก่อนที่เขาจะไปไหม

๓๔.หลงกับสิ่งที่เอาไปไม่ได้ ไม่เที่ยง มีความแตกดับก็ไม่ใช่ปัญญา ไม่อิสระ จิตก็ไม่ว่าง มีแต่วุ่น และก็วุ่นจนตาย

๓๕.ไม่พอใจในชีวิตในสิ่งที่มีที่เป็นอยู่ก็ชำระจิตไม่ได้ ใจก็คับแค้น ฟุ้งซ่าน ปรารถนา สะกดจิตตนเองให้มีทุกข์อยู่เช่นนั้น

๓๖.อยู่ให้พอเพียง ใช้ให้พอดี วัตถุก็จะไม่ทิ่มแทงใจ อย่าให้ความสะดวกสบายมาทำลายความสุข

๓๗.ใจที่สบาย สงบ สว่าง สะอาดก็ด้วยบุญกุศล มีสติตัดกระแสอารมณ์ที่เกิด มีปัญญาดับชำระ

๓๘.จิตจะเย็นได้ก็ด้วยการสั่งสมคุณธรรม อภัย เมตตา อโหสิ

๓๙.ฝึกสติ อบรมจิตก็เพื่อเปลี่ยนชีวิต เข้าใจชีวิต จิตก็เบา แต่ถ้าไม่ฝึกก็เดิมๆและก็มีแต่หนักขึ้นๆ

๔๐.จิตที่มืดอยู่ที่มีกิเลส ไม่มีศีล หรือยังลุ่มหลงอยู่ จะมีความโปร่งใสได้อย่างไร

๔๑.เมื่อเจริญอยู่ด้วยบุญ กุศล ปัญญา ความตายก็ไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ถ้ามีบาปก็น่ากลัว แม้ปัจจุบันภพก็มีสัญญากรรมผุดจรปรากฏ

๔๒.เราหลงความเป็นมนุษย์ทั้งที่มนุษย์อายุก็ไม่ได้ยังยืนอะไร เดี๋ยวก็หาหมอ หมดแรงล้มลงเป็นดิน ธุลีดิน

๔๓.ไม่มีผู้ใดอยู่หรือมีความสุขด้วยการผิดศีลธรรม บ้างก็เปลือกนอกดูดี มีสิ่งคุ้มกัน แต่ภายในจิตแล้วเร้าร้อน ไม่สดชื่น ขาดสิ่งคุ้มกันภายใน หรือที่พึ่ง

๔๔.ใช้เมตตาสยบความพยาบาทขุ่นเคืองคับแค้นอาฆาตใจก็เย็นแต่ถ้าพิจารณาเห็นแจ้งใจก็ว่าง แตกดับกันหมด

๔๕.เมื่อมักน้อยสันโดษก็จะไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่าน เบา แต่ถ้ามักมากมักง่าย หนัก

๔๖.ของใดที่เป็นกิเลสไม่ใช่ของวิเศษ แต่กลับเป็นโทษภัยมีความเศร้าหมอง...แม้เป็นของหอมได้แล้วสุขแต่ก็สุขได้ไม่กี่วัน เช่นได้บ้านสวย ได้รถสวย ได้คนหล่อคนสวย แต่ก็สุขได้ไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี เดี๋ยวก็เบื่อ

๔๗.เมื่อเห็นผิด อกุศลก็เกิดด้วยสัญญาทิฎฐิ จิตเดิมที่เราเข้าใจสั่งสมมาแต่ถ้าได้โน้มธรรมมาความเห็นก็เปลี่ยน (ต้องฟังธรรม ไม่ฟังไม่ได้)

๔๘.ทำดีเราก็หลงตัว ทำไม่ดี เราก็ไม่รู้ตัว จิตก็เป็นมาร มารพระเกิดที่ใจ

๔๙.วิธีดับอิจฉาริษยาต้องมีสติพิจารณาเหตุปัจจัย ความเป็นมา สภาวะ กรรม วาสนา บุญที่แตกต่างกันหรือใช้วิธีข่มจิต ท่องซ้ำ เช่น เขาได้ดีแล้ว,อิจฉาไม่ดี,ริษยาเราร้อน,เป็นบุญของเขา,บุญเขา,กว่าเขาจะได้มาก็ลำบาก หรือถ้อยคำใดๆเพื่อให้หยุดปรุงแต่ง

๕๐.พึ่งผู้มีอิทธิพลเราก็อยู่ใต้เขาพึ่งผู้มีกิเลสก็บริสุทธิ์ไม่ได้ พึ่งพระพึ่งพระเจ้าก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะพระเองก็หาที่พึ่ง พระเจ้าเองก็อยู่ภายใต้บังคับแห่งไตรลักษณ์ ไม่ได้ทำให้จิตเราบริสุทธิ์หรือมีปัญญาดับทุกข์และถึงการดับสุญ เราต้องพึ่งตนเอง พึ่งธรรมมีธรรมวินัย เริ่มที่ศีล

๕๑.เมื่อไม่รู้จิตเห็นจิตจะไปสู้รบกับทุกข์ได้อย่างไร ก็ต้องเจ็บอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราเจ็บครั้งหนึ่ง สติก็เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อเจ็บมากๆปัญญาก็เริ่มเกิดก็เริ่มละเริ่มวางได้

๕๒.รักษาธรรม รักษาชีวิต รักษาจิตด้วยการไม่ทำบาป ธรรมะรักษาจิต

๕๓.ปัญญาฝ่ายโลกยิ่งเรียนรู้เท่าไรก็ไม่พ้นทุกข์ แต่กลับทำให้จิตยิ่งหยาบเพราะเป็นไปเพื่อความต้องการเพื่อเหนือผู้อื่น มีตัวตนมากขึ้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อละ ปล่อย วาง ว่าง อิสระ หรือแจ้งโลก

๕๔.เราไม่มีอาวุธใดติดตัวก็ดีแล้ว แม้คราวเคราะห์พบคนพาลมีอาวุธเราก็ใช้กรรมวิบากตัดสินในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะได้มีกรรมกันมา ถ้าเขาฆ่าเราก็ดีกว่าเราฆ่าตัวเอง ถ้าเขาตีเราก็ดีกว่าเขาฆ่าเรา ถ้าเขาด่าเราก็ดีกว่าเขาตีเรา เวรก็ไม่ผูก ภพภูมิเราก็ไม่ขยาย

๕๕.เราไม่มีทรัพย์สมบัติตกทอดแก่ลูกหลานก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ที่พึ่ง เพียงอาศัยใช้ได้ภพเดียวก็หมด และทำให้ติดข้อง แต่ถ้าให้เขาได้เข้าใจธรรมคำสอนความละอายในบาปอกุศลจะดีกว่า เพราะเขาจะไม่มีเวรภัยแก่ผู้ใด จะมีที่พึ่งไปตลอดทุกๆภพชาติ จนถึงสุญโญ

๕๖.เรามาดีใจอะไร มาแสดงความสำเร็จอะไร มาภูมิใจอะไร ได้แก้วได้แหวนได้รถได้ยศได้บ้านได้ตำแหน่งหรือ ก็ในเมื่อเราคือนักโทษแดนประหาร เป็นทาสแห่งทุกข์ เป็นเหยื่อของวัฏฏะ ไปดีใจอะไร

๕๗.ถ้าไปรอคอย รอเวลา รออะไรหรือปล่อยใจ ใจเราก็ทุกข์ จงหาที่อยู่ให้จิตเกาะเกี่ยว ใจจะได้สงบ แต่ถ้าสงบแล้วก็ดูจิตให้แจ้งจิต

๕๘.เมื่อมีความรู้ตื่นในความแก่เจ็บตาย เราก็จะไม่ประมาท ไม่หลงในโลกที่เราอยู่ในสิ่งที่มีที่เป็น

๕๙.กายวาจาใจเป็นตัวแสดงศีลสมาธิปัญญาที่เป็นไปเพื่อกุศลความบริสุทธิ์แห่งจิต

๖๐.เข้าใจชีวิตแค่เสื้อผ้าปากท้องเครื่องประดับ เกียรติ แต่ขาดเรื่องจิตใจบุญบาปจิตที่ทุกข์ไม่อิสระเราก็ขาดทุน

๖๑.เราอยู่ด้วยความไม่รู้ทั้งอดีตปัจจุบัน เราไม่รู้กายที่เคลื่อนไหว ขยับออกแรง ไม่รู้ใจที่ส่งออกนึกคิดไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง อดีตอนาคตเรามาจากไหนและจะไปที่ไหนก็ไม่รู้ เราคือผู้หลงโลก ไม่รู้ทิศไม่รู้ทางไม่รู้ดับ

๖๒.เรามาห่วงทำเพื่อลูกหลานบริวารมาแบกทุกข์ผู้อื่น ทุกข์ตนเองก็ยังไม่หมด ทางที่จะไปเราก็ไม่รู้ คนมันมีกรรมกันมา ลูกหลานคู่รักคนรักเราตัวเราก็มีกรรม มาพบปะเกี่ยวข้องกันแล้วก็ไปตามวิถีทางที่ได้ทำมา เราอย่าไปฝืนกฎกรรม อย่าไปสงสารผู้ใดจนลืมสงสารตนเองมิแล้วเราก็ไม่ได้พิจารณา

๖๓.ใจของผู้รู้ ไม่มีอะไรที่จะยึดถือสิ่งนี้สิ่งนั้นไม่นึกคิดปรุงแต่ง ส่วนผู้ไม่รู้ก็ปรุงแต่งฟุ้งซ่านดิ้นรนแบกหามไป พอรู้พอเจ็บก็เริ่มวาง

๖๔.การกระทำไม่สงบใจก็ไม่สงบเพราะใจเราได้บันทึกในสิ่งที่ทำในกรรมที่ก่อเป็นสัญญา ทำให้จิตเราปรุงแต่งนึกคิดเป็นระยะๆ และรับผลช้าหรือเร็วตามเหตุปัจจัย

๖๕.มนุษย์ที่ไม่ได้กำหนดจิต ไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้พิจารณาธรรม หรือไม่น้อมธรรมมาเป็นความรู้ตื่นแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไหลไปตามกระแสของโลก จะหลงความเป็นมนุษย์ หลงในวัตถุเอกลาภ จึงถูกมารหลอก ให้แย่งชิงกัน ฆ่ากัน หลอกกัน แต่แล้วก็ไม่มีใครที่จะได้สิ่งใดๆไป แต่กลับต้องมารับบาปมีบาป

๖๖.กำหนดรู้จิตในจิต ใจที่ส่งออกนึกคิดมีเกิดจากอะไรเป็นมาอย่างไรก็เพื่อรักษาจิตป้องกันจิต ถ้าเราไม่กำหนดก็ส่งออกไปเรื่อยๆก็เหนื่อยนอนก็ไม่หลับเครียดเป็นโรคปวดหัวโรคกระเพาะความดันหัวใจ และถ้าคิดแล้วไม่วางจิตยึดมั่นหน้าก็จะดำและถึงขั้นตายได้

๖๗.ยิ่งทำงานหนัก ทำงานมากเท่าใดไม่ต้องไปหวังจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินวัตถุชื่อเสียงเพราะเราได้ใจที่สงบอินทรีย์พละที่เจริญขึ้นๆแล้ว ใครไม่ทำก็ปล่อยเขาไปเป็นกรรมของเขา เรามาทำกับใจเราจะดีกว่า

๖๘.ชีวิตไม่ต้องเป็นพระเอกนางเอกที่หนึ่งที่สุดก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ยั่งยืน และนั้นไม่ใช่ผู้สำเร็จ ถ้าสำเร็จ ใจต้องไม่โศก คับแค้น ขุ่น เร้าร้อนทะยานอยากคดเคี้ยว เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว หรือมีบาป หรือตกนรก

๖๙.เมื่อเกิดโลภะน้อยเราก็จะขอ เสี่ยงโชค เล่นพนัน เมื่อโลภะใหญ่ก็จะคดโกง และถ้าโลภะกล้าก็ถึงฆ่า ล่า แต่ถ้าเกิดโลภะไม่รอบคอบเราก็จะถูกฆ่าได้ โลภะละยาก ถ้าไม่รู้ตัวหรือสติปัฎฐานยังไม่เกิดก็รู้ว่าขณะนั้นโลภะเกิดขึ้นแล้ว

๗๐.เมื่อฟุ้งซ่านใจลอยกำหนัดหรือเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่รู้สึกตัว โลภะจิ๋วก็เกิดและสั่งสมเป็นกรรมใหม่ไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว ..เราเป็นทาสโลภะ

๗๑.การไหว้เป็นการบูชาย่อมได้รับบูชา ได้รับไหว้ตอบ คุ้มภัยมีสุขมีธรรมเบื้องต้นใส่ตัว แต่ถ้าแข็งกระด้าง หยาบไปเวรภัยก็เกิด ไม่เป็นที่รัก ประมาทในกรรม

๗๒.สะสมมากก็เป็นกิเลส ทำให้เราตระหนี่ ยึด หวง ห่วง ไม่อิสระมีแต่ทุกข์ “หลง”

๗๓.กิเลสหมักดองอยู่ในใจ เมื่อไม่มีการกำหนดรู้ หรือเอาออก พอเห็นได้ยินกระทบสัมผัสก็จะเกิดสืบต่อหลายขณะจนพอกขึ้นเรื่อยๆ สร้างทุกข์ ขยายภพให้แก่ตนเอง

๗๔.เหตุผลของมนุษย์เปลี่ยนได้ เพราะมีกิเลส แต่เหตุผลตามความเป็นจริงเปลี่ยนไม่ได้ มนุษย์กำหนด บังคับ และตัดสินกันเอง แต่ไม่พ้นกฎกรรม

๗๕.กล่าวหรือประจบ เพื่อหวังในทรัพย์ เอกลาภ ใจเราก็ไม่สงบ กิริยาสกุลเราก็เสีย ไม่ใช่วิสัยของสมณะ หรือผู้มีปัญญา

๗๖.การประชุม ถ้าเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ ก็เท่ากับปิดการประชุม แต่ถ้าฟังเสียงจากภายนอก คิดพิจารณาจากภายในจิตก็ได้ผลจากการประชุม

๗๗.เอาและเป็น หรือมีแต่น้อยๆ ความคิด ความวุ่นวาย ความเจ็บก็น้อย ใจก็มีที่พัก ไม่ร้อน เพราะไม่นานก็จะต้องเดินทางแล้ว

๗๘.อายุคือทรัพย์ อายุหมดทรัพย์ก็หมด อายุมากทรัพย์น้อย อายุหมดเขาไม่บอก

๗๙.ใครเตือนก็ไม่ฟัง เตือนตนเองก็ไม่ได้ก็นำตนไปสู่ความทุกข์ ความเห็นผิดเข้าใจผิด จิตก็เป็นอกุศล

๘๐.ขาดปัญญาเราก็เดือดร้อน เช่น เอาผู้ไม่มีศีล ผู้เห็นแก่ได้มาอยู่ด้วย หรือเราไม่อดทนอดกลั้น

๘๑.เมื่อทำการใดๆ จิตก็จะปรารถนาก็ท่องภาวนาด้วยถ้อยคำตรงกันข้าม เช่น เมื่อทำงานก็ท่องว่า “อย่าให้เสร็จๆ” เมื่อขับรถก็อยากให้ถึงที่หมายก็ท่องว่า “อย่าให้ถึงๆ” เมื่อเข้าเวรแล้วออกเวรไม่ได้ก็ท่องว่า “ทุกๆที่เป็นสุขๆ”จิตก็จะตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน ใจก็จะไม่เร้าร้อน(ทุกข์)

๘๒.ไม่ว่าเราจะสร้างกุศลมากมายเพียงใด หากไม่มีปัญญา เราก็ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ บุรุษสี่คู่ หรือจิตยังหลงมีทั้งดอกบัวระเบิดธูปมีด ไม้ หรือเทียนทองอยู่

๘๓.เมื่อตามรู้กายรู้ใจไม่ได้ ก็ไม่เห็นใจที่กำลังเกิดโลภะ ก็ละกิเลสไม่ได้ ไปนุ่งขาวห่มขาว เข้าป่า ออกบวช ถือศีลก็ละโลภหรือกิเลสไม่ได้

๘๔.เมื่อประมาทในเหตุหรือทำบาปมาแล้วเราจะคิดบวกไม่ได้ ถ้าคิดหรือใช้อุบายข่มนั้นก็เราก็หลอกตนเอง เพราะปัญหาหรือผลที่เกิดแต่เหตุยังมีอยู่ ยังไม่ได้แก้ไข ถ้าทำไว้มากๆก็สะสมปัญหาใจเราก็ไม่สงบนึกคิดไปเรื่อยๆจบเรื่องหนึ่งก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง ท้ายที่สุดเราจะเป็นคนแก่หน้าไม่ยิ้ม

๘๕.ความสะดวกสบายหรือความสำเร็จจะหลอกให้เราพอใจและหลงไปกับโลกโดยไม่รู้ดับหรือรู้ว่าจะต้องตายเพราะเพลิน และไม่ให้เราเห็นหนทางแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องท่องไปตามภพภูมิน้อยใหญ่ เราก็มืดไปบอดไป

๘๖.ไม่รู้จักสิ่งใดแล้วยุ่ง เราก็จะเจ็บ แต่ถ้าเรารู้จักแจ้งในสิ่งนั้น เราก็จะละ แต่ถ้ารู้จักไม่จริงและยุ่งเราก็จะดีใจเสียใจไปกับมันจนถึงที่สุดแห่งเจ็บก็จะละมัน

๘๗.เมื่อเราพอใจในกุศล เราก็ไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหมเพราะเราไปหวังผลของกุศล แต่ถ้าเราไม่ยึดในกุศลทำดีเพื่อความดี และได้บ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ เราก็จะเลิกเกิดตาย แต่ถ้าเราหลงพอใจในบาปก็จะไปสู่อบายภูมิ

๘๘.ใครเขาจะติ ว่า หรือด่า หรือตัดสินเราอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่าไปโกรธ ขุ่น หรือแย้ง เพราะภูมิจิตเขาเห็นหรือคิดเช่นนั้น แต่ถ้าเขามีธรรม และใช้ธรรมตัดสินก็เป็นอันถึงที่สุด

๘๙.คนที่เขาไปเที่ยวข้างนอก ไปทะเล ไปภูเขา ป่าไม้ หรือที่รื่นรมย์ก็เพราะเขาขาดความสุข ไม่พอใจในสิ่งรอบตัว หรือถิ่นที่อยู่ ใจเขาก็ไม่สงบ ติดข้องฟุ้งซ่านจะไปอีกทรัพย์ก็ขาด

                     โดย พ.ต.ท.สุรเดช ผะอบทิพย์
                           ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

บทความที่ได้รับความนิยม