วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๒๑



๑.ความโกรธ ความแข็งกระด้าง การขาดสัมมาคารวะเป็นมารที่ทำลาย ที่กีดกั้นคุณธรรมความดี ไม่ให้เป็นที่รัก เป็นผู้ที่มีเวรมีบาป ใจก็จะร้อน

๒.อยู่นานเข้าใจว่าร่างนี้ สิ่งนี้ สิ่งนั้น.....เป็นของเรา ถ้าอยู่เป็นพันปี เป็นกัปๆ ก็หลงจนลืมเที่ยง(เข้าใจว่าสิ่งต่างๆเที่ยง)ดั่งพกามหาพรหม

๓.ศูนย์กลางชีวิตคือจิตวิญญาณ จะหาความสุขก็ต้องหาอยู่ที่จิต เมื่อไปหาข้างนอก เดี๋ยวเราก็เจ็บ วันนี้มันๆ สุขมันจะหลอกเราไปทุกข์ยาวๆนานๆ

๔.เทพก็เมา พรหมก็หลง ถ้าไม่เห็นพระไตรลักษณ์  ได้เป็นมนุษย์คู่กับทุกข์ได้เปรียบแล้ว ส่วนผีเปรตสัตว์ อสุรกาย สัตว์นรกจะรับพระสัทธรรมไม่ได้ต้องชดใช้ภูมิภพไปก่อน

๕.เห็นจิตแล้วก็ลาออกจากบาป  เห็นความจริงก็ละ สละสิ่งสมมุติของโลก ส่วนผู้ที่ยังไม่เห็นก็ดีใจร้องไห้ แบกหามโลกกันต่อไป

๖.พวกเราตายยกครัวกันทั้งนั้น ปู่ตาตาย ย่ายายตาย พี่ชายน้องสาวตาย น้าอาตาย ผัวตาย เมียตาย ลูกตาย หลานตาย ตัวเราตาย เพียงแต่ทยอยกันตาย เราจึงไม่ตกใจ แต่ถ้าตายถี่ๆเราก็จะรู้สึก สติก็ตั้ง ธรรมที่ไม่เกิดก็เกิด

๗.ตามรู้กายที่เคลื่อน รู้ใจที่ส่งออกนึกคิดไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จนต่อเนื่อง เราก็จะไม่เผลอ รับรู้กระทบมีบาปอกุศลเกิดผุดก็รู้ทันรู้ชัดก็ตัด เบรกได้ และถ้ามีปัญญา หรืออุบายก็ดับลงได้ ใจก็ไม่เจ็บ ช้ำ หรือหมอง

๘.ในแต่ละวัน ใจเราขุ่นหรือใส ชุ่มชื่นหรือแห้งเหี่ยว วุ่นวายหรือสงบ ร้อนหรือเย็น คลาย ละหรือผูก ชำระ ดับได้เร็วหรือช้า หรือเครื่องติดตลอด เบรกไม่มี

๙.สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ สรรพทั้งปวงกำลังดำเนินไปสู่ความแตกดับทั้งหมด ยึดกายก็ทุกข์กับกาย ยึดสุขก็ทุกข์กับสุข แต่ถ้าเรายึดทุกข์ เราก็โง่จังเลย

๑๐.คนใกล้ตาย เขาไม่ได้พูดหรือคิดเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่จิตเขาคิดถึง บุญบาป นรกสวรรค์ ทุคติสุคติ ภูมิภพที่จะไป

๑๑.เขารวย ได้วัตถุ เราก็เข้าใจว่า เขาได้ดี ถ้าได้ดีต้องพอ ละ สละ ใจก็จะเบา สงบ เย็น

๑๒.เราเกิดมามีหน้าที่ทางกายคือบำบัดดับเวทนา และทางใจที่ต้องรักษานำพาพ้นออกจากทุกข์ “ทิ้งจิต ชีวิตโมฆะ”

๑๓.ปัญญาวัดได้จาก ความสงบระงับจากบาปได้มากน้อย หรือความสะอาด สว่างแห่งจิตเพียงใด

๑๔.มีเงินมีปัจจัยพร้อมก็ยังซื้อวัตถุสิ่งนั้นไม่ได้ จักต้องมีความโง่ความอยากด้วย

๑๕.เราได้อะไรมา แล้วมีทุกข์ติดมาด้วย มีบาปหรือนรกติดมาด้วย เสียเกียรติทางจิตวิญญาณด้วย นั้นไม่ใช่โชค

๑๖.ใจอยู่ที่ไหน กายอยู่นี้ มันไปตามสัญญา ไปตามกิเลสตัณหา คิดไม่เลิก หลับก็ฝัน ชีวิตไม่อิสระ ขังจิตไม่ได้ ไม่รู้จิตดับทุกข์ไม่ได้

๑๗.กายนี้ทนได้ยาก จะอยู่ได้อีกสักกี่ฝนกี่หนาว อายุ ๕๐ ก็ต้องเริ่มละเพราะฐานะเริ่มชรา ๖๐ ต้องเตรียม(ตาย) ๗๐ ต้องพร้อม ๘๐ อยู่ไปก็เจ็บ ลุกก็โอยนั่งก็โอย ๙๐ หมอบดีกว่า

๑๘.พวกเราเดินทางกันมาจากอดีตถึงปัจจุบันนับเป็นเวลากี่อนันต์แล้ว และไปสู่อนาคตไม่รู้อีกกี่อนันต์ภพ พบธรรมก็รู้ทาง รู้จุดหมายก็บ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆในแต่ละภพๆ มิใช่มาหยุดอยู่กับโลก มารมันขัดขวางหลอกเรา

๑๙.ตามใจเราไปนรก ต้องตามศีลตามธรรม บาปใครเคลียร์ไม่ได้

๒๐.เข้าใจจิต เราก็จะรู้จักชีวิตดีขึ้น เวลาบาปภพชาติก็ไม่ขยายออกไป

๒๑.ติดวัตถุ เราก็พัฒนาจิตใจปัญญาไม่ได้

๒๒.ดิ้นรนหาทรัพย์เอกลาภก็เพื่อจะดับทุกข์ แต่แล้วก็ทุกข์ เพราะดับที่ปลาย ไม่ดับที่ใจที่เป็นต้นเหตุ

๒๓.ทำไม่ดี ไม่มีใครรู้ แต่ใจเรารู้ เราทำอย่างไร ใจเราก็รู้อย่างนั้น มันเป็นตราประทับที่เกาะกัดกินใจ นึก ผุด จรที่ไร ใจก็ไม่สงบ

๒๔.เอาความตายมาตัด ความมีตัวมีตนได้ ใจก็เบา หายเหนื่อย

๒๕.ฝึกกายมีศีล ฝึกสติมีธรรมนำชำระกิเลส ใจก็จะไม่ร้อน

๒๖.โลกคือหมู่สัตว์เป็นเวทีแห่งภูมิภพ เมื่อปัญญารู้ชัดอนัตตา หลุดไม่ตกมากเกิดมาตาย

๒๗.จะบอกอย่างไร เขาก็ไม่รู้ เพราะไม่ประจักษ์แจ้ง เจ็บครั้งหนึ่งสติก็เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง

๒๘.หาสุขนอกจิตแล้วมาทุกข์ หาสุขในจิตดีกว่า จะเย็นเบา

๒๙.เสพวัตถุมากก็ขาดอิสระ เสียแรงงาน ความคิด เวลา พักก็น้อย ชีวิตเสีย

๓๐.ชีวิตที่ปลอดภัย ดีงาม อิสระต้องละบาป เจริญอยู่ในกุศล และฝึกบ่มพิจารณา ใจก็จะเย็น เบา สงบ

๓๑.ธรรมะช่วยให้หายโง่ ก่อนที่จะเจ็บ จม และหลงไปสู่นรก

๓๒.หลงกาย เราก็หลงอยู่กับทุกข์

๓๓.วางตัวตนได้ก็จะเบา ไม่โกรธ แค้น หายใจก็ไม่หนัก คำพูดก็ไม่ร้อน ดวงตามีหน้าก็ไม่ดุ

๓๔.เมื่อมีภูมิธรรมอยู่บ้าง เราก็จะสะดุ้งในบาป อกุศลหรือนรก

๓๕.เมตตา อภัย อโหสิ จิตเราก็เย็น เบา อิสระ

๓๖.ไม่รู้จิตก็ไม่รู้ชีวิต ก็ใช้ชีวิตแบบไม่รู้ทาง ดีใจร้องไห้ แบกหามโลกนี้ไป จนดับมืดไปภพหนึ่งๆ

๓๗.บาปเป็นของร้อน เกิดที่ใจ เมื่อสร้างบาป ใจเราก็เป็นนรก



                          โดย พันตำรวจโทสุรเดช ผะอบทิพย์

                                    ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๒๐

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม  ๒๐

๑.ดิ้นรนมาก เราก็สร้างความเจ็บปวด ความเครียดแค้นชิงชัง ใจเราก็เศร้าหมองกายก็เหนื่อยมีโรคภัย

๒.แบกมากไป เราก็วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน วิตก สร้างทุกข์โทษเวรภัยให้แก่ตัวเอง

๓.โลกนี้มากไปด้วยความบีบคั้น มีกายที่แปรที่ถูกกระทบอยู่ตลอด มีใจที่ส่งออกวันหนึ่งไม่รู้กี่เรื่อง ไม่มีความสงบเลย

๔.เมื่อวานก็ได้ วันนี้ก็ได้ ที่ผ่านๆมาแต่ละวันเราก็ได้ แต่เวลาชีวิตก็ได้หมดลงกับสิ่งที่ได้นั้นแล้ว ที่เหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เรียกคืนก็ไม่ได้ เปลี่ยนมันใหม่ก็ไม่ได้ สรุปเราเกิดมาเพื่อวัตถุหรือจิตวิญญาณ หรือเอาชีวิตไปแลกกับบ้านโต รถโต ยศโต...โต

๕.เมื่อความตาย ความไม่เที่ยงรอเราอยู่ข้างหน้า จะมีประโยชน์อันใด ที่จะต้องดิ้นรนจนเป็นทุกข์ อยู่ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทยอยตามกันหมด จากภพหนี่งไปสู่ภพหนึ่ง

๖.มนุษย์สัตว์ วัดดูกันได้ที่ประมาทหรือไม่ประมาท ฝึกฝนหรือไม่ฝึกฝน ขี้เกียจ หรือรักสบาย ดื้อ ดุ หรือเชื่อฟัง อ่อนน้อมหรือมือแข็ง เลี้ยงง่ายหรือยาก...

๗.พึ่งผู้มีฤทธิ์ผู้มีอิทธิพล เราก็ประมาท ขาดการพัฒนาฝึกฝนตน และก็อยู่ใต้เขา พึ่งผู้มีกิเลสเราก็บริสุทธิ์ไม่ได้ พึ่งพระ พึ่งพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เพราะพระเองก็หาที่พึ่ง พระเจ้าก็ไม่ได้ทำให้เรามีปัญญา เราต้องพึ่งตนเอง มีธรรรมวินัย

๘.ปัญญารู้ได้ด้วยการสนทนา เห็นถูกหรือเห็นผิด บอดหรือสว่าง กุศลหรืออกุศล สำเร็จหรือเสร็จ เป็นพระหรือเป็นมาร เทพหรือผีเปรต

๙.ความสะดวกสบาย เราทำให้แก่ร่างกาย แต่ทางจิตใจ ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราก็ขาดความร่มเย็นเป็นสุข เช่น เกินตัว ก่อเวร

๑๐.คิดนาน สงสัย ไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจ ไม่แจ่มเราก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้ รู้สึกไม่ได้ เราก็เจ็บ ดับ ยาว(อนันต์ภพ) ความไม่รู้เป็นมลทินสุดร้าย

๑๑.ไม่อยากเจ็บ อย่ามีอะไร และไม่รู้จักอะไร อย่ายุ่ง ถ้ามีและยุ่ง เดี๋ยวก็เจ็บ วันนี้มันๆ ยังไม่เจ็บ เจ็บอยู่ก็ไม่รู้ ต้องชัดๆ เต็มๆ ถี่ๆ สติตั้ง

๑๒.สงสารคนที่เขาไม่ได้ประมาณชีวิต เพราะเขาจะหากินไปเรื่อยๆ ชื่นชมกับทรัพย์เอกลาภ และทันใดเมื่อเขาต้องเดินออกจากโลก เขาก็ตกใจ เสียใจ สูญเสียสิ่งที่เขาทำมา และสิ่งที่เขายังไม่ได้มา จิตวิญญาณเขาจะไม่สงบ ไม่มีที่พึ่ง เขาต้องไปคนเดียวอย่างมีดบอด บนเส้นทางสายเปลี่ยวไปตามกฎกรรมที่เขาได้ทำมา

๑๓.ที่สุดไม่มีใครได้อะไร เพราะทุกสิ่ง ทั้งตัวเราและสิ่งนอกตัวเราเป็นสิ่งสมมุติ ที่เกิดอาศัย ได้ใช้ มาแสดง มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องแล้วก็ดับไป สิ้นไป ชั่วแวบหนึ่งเมื่อเทียบกับเวลาอนันต์ หรืออายุไขของโลก

๑๔.คบคนเป็นคน คบสัตว์เป็นสัตว์ คบเทพเป็นเทพ ธาตุเดียวกันหรือใกล้กันคบเข้ากัน

๑๕.เข้าใจชีวิต ก็รักทุกชีวิต เพราะชีวิตเป็นที่รัก มีทุกข์กาย ทุกข์ใจตลอดเวลา ต้องบำบัดขับถ่าย ขยับ เคลื่อนถูกกระทบ ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ไหนใจที่ส่งออกไม่หยุดนิ่ง ต้องสู้รับสัญญา ความจำได้หมายรู้ในอดีตที่เราได้ก่อทำไว้ไม่ดีมา

๑๖.กายมีที่อาศัยสะดวกสบาย แต่ใจที่ไม่มีที่พึ่ง เราก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ เสียชีวิตกับชาติที่เกิดเหตุ รับรู้ แต่เข้าใจไม่ได้ แล้วจะไปยังไง อบายภูมิมันก็กินเรา

๑๗.ระวัง คัมภีร์จะบดบังพระธรรม สมมุติสงฆ์บังอริยะสงฆ์ พิธีกรรม ศาสนวัตถุ กีดกันเนื้อธรรม และวัตถุรูปหล่อเหรียญผล บทสวดวิธีแนวปฏิบัติจะนำหรือพาเราหลงทางไปผิดทาง ธรรมแท้ต้องละกิเลส เป็นไปเพื่อ ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับทุกข์ สงบ ระงับ หรือเพื่อรู้ รู้ยิ่ง รู้แจ้งเข้านิพพาน สละโลก

๑๘.จงตื่น และมองดูโลกที่กำลังจาก เราใช้ชีวิตจากที่มีเรา ไปสู่ความไม่มีเรา โลกคือทางผ่าน เรามาอาศัยมาดื่มอาบเคี้ยวกิน เสร็จแล้วก็ไป ไม่ใช่มาหยุดอยู่กับโลก ชีวิตคือการเดินทาง จากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง สืบต่อเนื่องไปจนกว่าจะถึงความดับสูญ

๑๙.กล่าว หรือประจบเพื่อหวังในทรัพย์ เอกลาภ เสียสกุล ไม่ใช่วิสัยสมณะ ผู้มีปัญญาไม่ขอ

๒๐.รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ในสิ่งที่ทำ รู้ในคำที่พูด รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส รู้ใจที่นึกคิดส่งออก กุศลอกุศล เกิดดับไปก็รู้ รู้และพิจารณาอยู่เนื่องๆ ปัญญาก็เจริญขึ้นๆ

๒๑.เราต้องดูแลความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ทุกๆขณะ เริ่มที่ศีล หรือต่ำๆก็ต้องมีทาน ทิ้งจิตทิ้งชีวิต เสียโบสถ์ เสียวิหาร เจดีย์....

๒๒.เราเป็นคนจน ไม่มียศมีอำนาจก็ไม่เป็นไร เราเรียนหนังสือไม่เก่งก็ไม่เป็นไร เราทำงานไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เราทำงานหนักก็ไม่เป็นไร เรามีกายพิการก็ไม่เป็นไร เรากินอยู่ไม่ดีก็ไม่เป็นไร เราถูกเอาเปรียบหรือถูกเบียดเบียนก็ไม่เป็นไร เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เหตุปัจจัย ความเป็นมา หรือกฎกรรมจึงดำเนินมาอย่างนี้ แต่ก็ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ไปก่อทุกข์โทษเวรภัยกับใคร บุญบารมีเราก็เกิด ใจเราก็ไม่เศร้าหมอง เราก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว

๒๓.เมื่อขาดความรับผิดชอบเราก็ประมาทในวัย ชีวิต ทรัพย์สิน และครอบครัว

๒๔.การเป็นอยู่ด้วยความหลอกลวง เป็นความโง่ในทางจิตวิญญาณ

๒๕.ผลต่างของการรับรู้ ระหว่างตามความเป็นจริงกับตามความอยากหรือความหลง เท่ากับศูนย์จิตก็ไม่หวั่นไหวยินดียินร้าย

๒๖.วิธีดับความอยาก หรือความติดข้องคือ พิจารณาให้เห็นภาระ โทษ เวร ภัย อายุ การแตกดับ การจม วนเวียน

๒๗.วิธีดับความโกรธ ต้องพิจารณาเหตุปัจจัย สิ่งที่เกิดปรากฏดับ หรือเมตตาสงสาร เห็นทุกชีวิตมีทุกข์ติดตัวกันมา ต้องดิ้นรนหนีทุกข์ และจมอยู่กับโลก ทั้งก็ต่างสติปัญญาอุปนิสัย ....โกรธเขาเราร้อนๆ.....

๒๘.วิธีดับหลง ต้องพิจารณาให้เห็นความเกิดดับ ความว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของเรา อนันต์ๆ ไม่เที่ยงๆ ตายๆ ศพๆ อุสภะ

๒๙.ตัวปัญหาคือตัวเรา เพราะเป็นตัวกิเลส มีเหตุมีผลตลอด ว่าตนเองถูก แต่ก็ไม่พ้นทุกข์

๓๐.เขาเบียดเบียนเราทางกาย แต่ทางใจเขาทำไม่ได้เพราะใจเรามีธรรมะ รู้ว่านั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เป็นเพียงสภาพอกุศล หรือมีเหตุปัจจัยกันมา จึงเป็นเช่นนี้เอง

๓๑.ระดับปัญญาหากิน ๑ ไม่หากินหรือหากินไม่ชอบ ๒ หากินเกินกำลัง เช่นเบียดเบียนตนและผู้อื่นหรือทอดทิ้งจิต ๓ หากินตามกำลังตามเหตุปัจจัย ได้มากก็แบ่งปัน เกื้อกูล ๔ หากินเท่าที่จำเป็น ๕ หากินเพื่อบำบัด ๖ หากินเพื่อละ ๗ ยุติการหากินโดยสลายธาตุขันธ์

๓๒.อยู่มานาน ชีวิตจะหมด ทำไมทุกข์ยังไม่ดับ ที่หาอยู่ รักษาอยู่ เป็นอยู่นั้นคือทุกข์

๓๓.เกษียณแล้วอีกไม่กี่ปี หรือสิบปี ยี่สิบปีเราก็เป็นภาพถ่ายติดฝาผนัง นานๆไปก็ไม่มีผู้ใดพูดถึง เพราะคนที่พูดถึงก็ตาย มนุษย์รุ่นใหม่ๆก็มาแทนทีพวกเรา พวกเราเหมือนเมฆหมอกเป็นอนุภาคเล็กๆที่เกิดปรากฏดับไป

๓๔.ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เท็จมากกว่าจริง หามากกว่าละ หรือเบียดเบียนกันมากกว่าที่จะเมตตา และหาสัจจะได้ยาก เพราะเรามุ่งหาวัตถุมากกว่าจิต เราต้องไม่อยู่ร่วมกันอย่างผีๆ เปรตๆ สัตว์ๆ (ผีคือ เท็จ,เปรตคือ อยาก และสัตว์คือ ไม่รัก เคือง)

๓๕.ตัวตนเราคือจิต ไม่ใช่ร่างกายที่กำลังแปรเสื่อมดับ ต้องหาจิตให้เจอ เพื่อทำหน้าที่ชีวิต ไม่ใช่เอาชีวิตไปแลกกับบ้าน รถ ยศ เกียรติแล้วก็ดับไป

๓๖.เมื่อขาดปัญญา เราก็รับรู้ด้วยความหลง ความอยาก หรือตามสัญญาที่วิปลาส เพี้ยน

๓๗.ศัตรู้ที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ ความเห็นผิด เข้าใจผิด บอดดับมืดไป

๓๘.ชีวิตหลังเกษียณต้องเตรียมดับ รักษาร่าง หาอุบายวิธีจาก สละ ลา ละสิ่งสมมุติของโลก  ไม่สร้างเหตุสิ่งผูกพันภาระใดๆ ให้มีผลต่อวันข้างหน้า อยู่วันต่อวัน ใจก็สงบ ว่าง อิสระ เมื่อดับก็ไปสบาย ไปสู่สุคโต ละคร หนัง ลิเก จบก็จบ ถ้าไม่จบ ก็มีปัญหาต่อภูมิภพที่จะไป มีอบาย

๓๙.การประมาทในเหตุทำให้ตายทั้งเป็น มีลิมิตฆ่าตัวตาย และหรือเบียดเบียนทำลายผู้อื่น เช่น ขี้เกียจ ติดสุข ไม่ประมาณตน ไม่ประมาณชีวิต ไม่รู้หน้าที่ชีวิต

๔๐.ขาดสติ เราก็ขาดตัวตัดกระแสความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ จิตก็ตกเป็นทาส ปรุงแต่งส่งออกไปเรื่อยๆ ขาดปัญญาเราก็หลงกับสิ่งที่ปรากฏ จิตก็เห็นผิด คิดผิด นำไปสู่บาปอกุศลหรือนรก

๔๑.ความสุขสบายเป็นเปลือกของชีวิต แต่แก่นของชีวิตคือใจที่สงบ ที่มีความดับเย็น

๔๒.ธรรมะช่วยให้หายโง่ ก่อนที่จะเจ็บหรือจม

๔๓.รูปหล่อนี้ เหรียญนี้ ผงนี้ ยิงไม่ออก ตะกรุดนี้ก็ฟันไม่เข้า ยันต์นี้คุ้มภัย คำหมากนี้ก็ไม่ตาย แล้วอุบัติเหตุโรคภัยยาพิษไม่ตายหรือ ที่แน่ๆ ผู้ปลุกเสก สวด ท่อง เป่า พ่น เจิมได้ตายไปแล้ว บอกความจริงแก่ลูกหลานได้แล้ว ลืมขน เล็บ ฟัน หนังไปแล้วหรือ เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปไว้ที่ไหน ทำไมไม่เอาธัมมาธิปไตยเป็นใหญ่ หรือจะเอาน้ำเต้า นางกวัก ชูชก ปีเซียะดีไหม จะได้รวย เฮงๆ มีศีลมีความคุ้มครอง มีความอาจหาญต่อยมบาล ดีกว่ามีเครื่องรางของขลังวัตถุมองคลทั้งหมด ศีลเป็นเยี่ยมในโลก

๔๔.มีสิ่งใด เราก็ทุกข์กับสิ่งนั้น เช่น มีตาหูจมูกปากฟันผิวผมก็ทุกข์ เพราะมีเชื้อโรค เช่นปวดฟัน ปากเหม็น ผิวมีสิวกะฝ้า หนังย่นคัน มีบ้าน รถ ผัว เมีย ลูกก็ทุกข์ เช่นมีผัวชอบกินดื่มเที่ยวเล่นขี้เกียจมีกิ๊ก ลูกซนเกดื้อติดยา เมียโกหก ใช้เงินเก่ง มีรถห่วงซ่อมเสื่อมพัง มีพี่เพื่อนน้องญาตินายลูกจ้างพ่อค้าผู้นำ โกง หรือเอาเปรียบ หรือเบียดเบียน

๔๕.ปัญญาฝ่ายโลก เรียนรู้ถึงขั้นสูงสุดก็แพ้กิเลส มองไม่เห็นโทษของกิเลส มองไม่เห็นความดับ จิตดับเย็นไม่ได้

๔๖.มีทรัพย์เอกลาภ เราก็ไม่ได้อยู่กับมันจริง เพราะเราอยู่กับจิต กับความคิดและอารมณ์ หรือใจที่ส่งออกที่เป็นความทรงจำที่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตนที่เที่ยง แต่แล้วชีวิตเราก็หมดไป โดยไม่ได้รู้โลกของจิตวิญญาณหรือหนทางที่ออกจากวัฎฎะ

๔๗.เราเกลียดเขา ดีกว่าเขาเกลียดเรา เพราะเรากำหนดรู้เห็นจิต คุมจิตได้ ส่วนเขาอาจแกล้ง ทำร้าย ทำลายเราได้ หรือปล่อยให้เราตายได้ เจ็บได้ อยู่อย่าให้เขาเกลียด

๔๘.ถ้าเราเข้าใจชีวิตแค่เสื้อผ้า ปากท้อง เครื่องประทับ ยศ เกียรติ แต่ขาดเรื่องจิตใจ บุญบาป มรรคผล เราก็ขาดทุน เพราะเรามองไม่เห็นจิตที่มีทุกข์ที่ไม่อิสระ และก็ดับไปอย่างมืดบอดไม่รู้กี่อนันต์ภพ เหมือนสัตว์โลกที่เกิดมาแล้วก็ตายไปภพหนึ่งๆ

๔๙.ความยินดียินร้ายทำให้เราจมอยู่กับโลก

๕๐.โลกคือหมู่สัตว์ เป็นเวทีแห่งภูมิภพ เมื่อมีปัญญาแจ้งโลก เห็นชัดอนัตตาก็หลุดพ้นไม่ต้องมาเกิดมาตาย (สุญโญ)



                          โดย พันตำรวจโทสุรเดช ผะอบทิพย์

                                    ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๒

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๑๙

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๑๙

๑.ชีวิตเป็นของหนัก เป็นของเหนื่อย ไหนต้องกินต้องขับถ่ายดูแลชำระบำบัด ชีวิตที่ดำเนินกว่าจะเรียนจบมีงานทำก็ต้องอดทนแข่งขัน กว่าจะมีที่อยู่ที่อาศัยก็ยากลำบากต้องผ่อนส่งทั้งชีวิต กว่าจะได้รถโตยศโตก็แสนยาก กว่าจะมีหรือรวยก็ต้องต่อสู้สูญเสีย ชีวิตก็ใกล้หมด และถ้าเป็นหญิงจะได้คู่ที่ถูกใจก็แสนยาก แต่แล้วก็มาตายไม่ได้รู้หรือเข้าถึงพระสัทธรรมนำตนออกจากทุกข์ได้ เพราะ”ถูกกิเลสมันบริหารชีวิต”

๒.เด็กๆ ดวงตาดูสดใส แววตาก็ไม่ดุ ผิวหน้าก็ดูเด้งใส แต่พออยู่นานๆ ผ่านแดน ผ่านฝน ผ่านเหตุการณ์ เรื่องราวดวงตาก็ดูเศร้า หน้าก็ย่นยับมีกะฝ้า บ้างแววตาก็ดุเหม่อลอย เพราะเขาเหนื่อยกับชีวิต ไม่รู้จะไปไหนต่อ

๓.จิตบันทึกในสิ่งที่ทำที่รับรู้ เมื่อทำกรรมไม่ดี ใจก็จะไม่สบายไม่สงบไม่โปร่งเป็นเรื่องที่เกาะกินใจ คาใจ เมื่อผุด จร หรือระลึกแต่ละครั้งใจก็ไม่สงบทั้งบางเรื่องก็แก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ยิ่งสั่งสมหรือมีหลายเรื่อง ใจก็นึกคิดไม่หยุด จบเรื่องหนึ่งก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง หรือวน จึงเป็นความทุกข์ร้อนใจที่มีบาป ต้องรักษาจิตด้วยการไม่ทำบาป รักษาหน้าที่ มีวินัย และเชื่อฟังผู้ใหญ่ มิฉะนั้นแล้วก็จะเกิดผลกรรม มีทุกข์

๔.ทั้งหมดที่มี ทั้งหมดที่ได้มา ตั้งแต่นี้ต่อไป มันกำลังจากเราไป ทั้งวัย ชีวิต.....หลงกับสิ่งที่เอาไปไม่ได้ ไม่ฉลาด ถ้าและได้มาโดยมีบาปติดมาด้วย    “ซวย” กรรมกำหนดภพ เรากำหนดได้

๕.ชีวิตคือความว่างเปล่า เกิดแล้วดับเป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ เราเพียงผ่านมา หรือได้ใช้กาลเวลาเพียงแวบหนึ่ง ที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของตัวเรา และสิ่งภายนอกตัวเรา หลงโลกเราก็ต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตามภพภูมิน้อยใหญ่ตามกรรมวิบากกิเลสอยู่อย่างนี้จนกว่ามีความศรัทธาเชื่อในบุญบาปหรือมีปัญญาหรือแจ้งโลก เช่น เห็นกายนี้เป็นก้อนขี้หรือส้วม หรือเห็นสิ่งสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นไอติมคือไตรลักษณ์ ก็จะละ สละโลก ทิ้งกายทิ้งจิต “สุญโญ”

๖.เราบังคับผม ขน เล็บไม่ให้ยาวไม่ได้ บังคับฟันไม่ให้ผุไม่ได้ บังคับหนังไม่ให้เหี่ยว ย่นแห้งก็ไม่ได้ บังคับอวัยวะน้อยใหญ่ไม่ให้เสื่อมไม่ให้มีเชื้อโรคก็ไม่ได้ และบังคับใจไม่ให้ส่งออกปรุงแต่งก็ไม่ได้ บังคับให้ฉลาดให้รู้ก็ไม่ได้ รูปนามขันธ์ ๕ มันไม่ใช่ของเรา ไม่มีเรา เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดปรากฏดับ....เราอยู่กับร่างนานเข้าใจว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา เราอยู่บนแผ่นดิน เราก็เข้าใจว่าแผ่นดินเป็นของเรา เราเป็นใบไม้แต่เราเข้าใจว่าเป็นต้นไม้ที่ถูกสลัดใบได้ทุกเมื่อ เราหลงอยู่กับสิ่งที่ปรากฏจนหมดเวลาชีวิต

๗.ชื่อตัวก็สมมุติ ตัวตนก็สมมุติเพราะไม่ได้ตั้งอยู่นานกำลังแปรสลายแล้วมายึดตัว ยึดตนกันไปทำไม ตัวของตัวก็ยังยึดไม่ได้ แล้วมายึดเป็นของตัวกันไปทำไม มันไม่ใช่ของเรา ถ้าใช่ เราต้องบังคับบัญชาได้ ต้องไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย พวกเราก็เหมือนถูกอุปโลกห์ขึ้นมาแล้วก็ดับไป หายไปสิ้นไป ทุกสิ่งเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ เราอย่าไปยึดตัวยึดตนกันเลย เพราะอีกไม่นานเราก็ต้องเป็นผีกันแล้ว

๘.สมาธิเกิดที่ใจที่มีการดำเนินชีวิต คิดพูดทำตามฐานะหน้าที่อาชีพที่มีที่ชอบในแต่ละขณะๆ ทุกวันเดือนปีโดยชอบ ไม่ใช่ที่รูปกายที่ท่า ที่แบบ หรือวิธีใด ที่เราสวดมนต์ ท่องถ้อยคำภาวนาใดๆ หรือมีความรู้สึกอยู่กับลมเข้าออกหรือเพ่งหรือกำหนดอยู่กับสิ่งใดๆก็เพื่อให้ใจมีที่เกาะที่อาศัยไม่ให้ส่งออก แต่นั้นก็ตั้งมั่นไม่ได้ถ้าเรามีกรรมที่ไม่ชอบ หากมีกรรมชอบกับมีการฝึกกำหนดรู้ก็จะทำให้เรารู้ตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ สติ สมาธิก็มีอยู่ในตัว เมื่อนั้นเราก็รู้จิตในจิต

๙.จิตที่ตั้งดีย่อมมีธรรมวินัย ใจก็ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ไปขอพร อ้อนวอนกราบไหว้ความสำเร็จของผู้อื่น เพราะพรที่ประเสริฐสุดก็คือกรรมที่ดีที่สะอาดของตนเอง จิตวิญญาณก็มีความสงบ ความดับเย็น จิตธรรมต้องทำเอง หมอ พระ พระเจ้า เทพเซียน บุตรบริวารก็ช่วยไม่ได้ เห็นผิด หาที่พึ่งผิด เราอยู่กับทุกข์ ติดวัฎฎะ

๑๐.มนุษย์มีเวลาน้อย ถึงจะมีหรือได้อะไรมาเราก็ต้องมาจากสิ่งนั้นไป เราไม่รู้ว่าเขาให้เวลาชีวิตเรามาเท่าไร มนุษย์สัตว์ต่างมีชะตามีกรรมวิบากยากที่จะคาดคะเนว่าสิ่งนี้ไม่เกิด สิ่งนี้จะเกิด.......มีแตกดับกันทุกขณะๆ จึงต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง ปัจจุบันภพเป็นอยู่ก็ต้องมีศีล ใช้ชีวิตก็ต้องมีสติ มีเป้าหมายชีวิตเพื่อพัฒนาภูมิภพเพื่อยุติการเกิด ไม่ใช่มาเมาหรือหลงอยู่กับภพ ทรัพย์เอกลาภ เพราะสิ่งนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตายก่อนตายจิตก็จะไม่โศก

๑๑.ไม่รู้จิตเราก็สร้างทุกข์ในใจ คิดนึกไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นได้ยิน รับรู้สิ่งใดๆ เกิดกิเลส บาป อกุศลขึ้นแต่ละขณะๆ สั่งสมอยู่ในจิตเราก็ไม่รู้ ต้องหาจิตให้เจอ รู้ดูจิตให้ได้ดีกว่าไปหาวัตถุแล้วไม่พ้นทุกข์ ทิ้งจิตทิ้งชีวิต ชีวิตก็รับเหละ วุ่นวาย จบไม่ลง ขยายภพไม่รู้ไปสิ้นสุดลงตรงไหน

๑๒.รวยหรือจนเขาต้องมีทุกข์ เพราะเขามีขันธ์ ๕ ครองอยู่ และถ้าไม่ได้ประมาณตน ประมาณชีวิตก็จะยิ่งเดือดร้อน วุ่นวาย หาทรัพย์ หรือถูกกิเลสใช้จนไม่รู้ดับ แล้วเกิดมาเพื่ออะไร มีชีวิตอยู่ และใช้อย่างไร

๑๓.จะละสิ่งใดก็ต้องมีเหตุผล มีปัญญา แต่ถ้าเจ็บบ่อยๆ ชัดๆ เต็มๆ หรือแบกไว้นานๆ จนเหนื่อยหรือไม่ไหวก็ละได้ วางได้ เพราะมันสอนให้รู้เห็นภาระโทษภัย แต่ถ้ามีแรงขึ้นมาอีก หรือหายเจ็บ ก็จะเอาอีก แบกอีกเพราะติดในภพ ติดในสมมุติ

๑๔.ที่แสวงหากันอยู่ ดิ้นรนกันอยู่ แบก ประชันหรือประกวดกันอยู่ เพื่อทับทุกข์หรือเพิ่มทุกข์ มีทุกข์มีบาปหรือมีนรกรออยู่หรือไม่ ไม่ว่าเราจะได้มาเท่าไร ก็ไม่ใช่ทางดับทุกข์พ้นทุกข์ พระองค์ทรงเดินออกมาจากสิ่งนั้นแล้ว ทรงเห็นอะไร แต่เรากับเดินเข้าหา เรามองเห็นอะไร

๑๕.เมื่อเดินตามคุณพระรัตนตรัยเราก็มีความปลอดภัยจากนรก มีความเห็นถูก คิดถูก ทำถูก พูดถูก.......ใจก็ไม่ร้อน ภูมิจิตภูมิธรรมเราก็เจริญขึ้นดีขึ้นสูงขึ้น จิกก็มีความดับเย็น เบา และถ้าอินทรีย์แก่ก็จะมองไม่เห็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

๑๖.ทุกข์เพราะกิเลส ไม่ใช่จากคน สัตว์ สิ่งของ วัตถุ สถานที่หรือสิ่งภายนอก จะไปอยู่ที่ไหน จะมี หรือได้เป็นอะไร ก็ทุกข์ เพราะใจยังมีกิเลส ทรัพย์เอกลาภและปัญญาฝ่ายโลกดับชำระไม่ได้มีแต่จม

๑๗.อยู่ร่วมกันไม่มีศีล ไม่มีทาน จะอยู่กันอย่างไร จะเคารพกราบไหว้กันอย่างไร ก็เป็นภูมิล่า อยู่แบบหวาดระแวง ให้เขาบ้าง เขาก็จะไม่ดุร้าย เราก็เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์

๑๘.เมื่อขาดสติ เราก็มองเขาด้วยกิเลสใจเราก็ขุ่นเคืองไม่ชอบเขา เราก็ร้อน แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา พิจารณาเหตุปัจจัย ความจริง เช่น ที่มา จริต อุปนิสัย สติ ปัญญา สิ่งเกื้อกูล อิงอาศัย ใจเราก็เฉย อภัยเขา เมตตาเขา เพราะเขาไม่รู้ เขารู้ไม่ได้ เขาต้องไปพัฒนาภูมิภพไปตามกิเลสกรรมวิบากที่ได้สั่งสมทำมา

๑๙.ขาดทานขาดที่รัก ขาดศีลขาดความคุ้มครองจิตก็หวั่นไหวได้ง่าย หวาดระแวง ขาดสติฆ่าตัวเองใจก็ส่งออก ขาดปัญญาก็ชำระกิเลสไม่ได้ จมอยู่กับทุกข์ แต่ถ้าขาดทั้งทานทั้งศีลตายเสียดีกว่า ภูมิภพก็จะไม่ได้ขยายไปมากกว่านี้

๒๐.ปัญญารู้ได้ด้วยการสนทนา หลงไม่หลง บอดไม่บอด มืดหรือสว่าง ยึดหรือละ เป็นคนหรือเป็นเทพ หรือเป็น.......พระหรือมาร ศีลรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน สติรู้ได้จากกายตาลิ้นปากที่เคลื่อนที่ หรือเคลื่อนไหว หรือลมหายใจ หรือดูรู้ใจที่ส่งออก ปรุงแต่ง ไม่รู้จิตไม่รู้ธรรมไม่รู้ชีวิตก็มืด

๒๑.เมื่อรู้ในการใช้ทรัพย์ก็จะเป็นผู้มั่งมี และถ้ารู้วิธีจาก ละ ลาทรัพย์ได้ใจก็จะไม่โศก เบา และถ้ายิ่งมีปัญญาแก่ก็จะไม่ไปหาทรัพย์ จะมีแต่ก็เพื่อใช้ไปตามเหตุโดยไม่ผูก จิตก็อิสระ มีทรัพย์ก็ต้องมีอิสระ ใช้หรือหาทรัพย์ก็ต้องให้มีความสุข ต้องไม่เร้าร้อน ดิ้นรน หรือไปก่อทุกข์โทษเวรภัย

๒๒.มีทรัพย์แต่ไม่ได้ใช้เหมือนถูกอายัดเหตุที่ตระหนี่ ไม่มีเวลาใช้ อายุจะหมด ร่างกายเสื่อม มีโรค ลูกหลานบริวารใช้ ผลาญ ถูกเขาโกง ลัก เก็บนานเสื่อม สูญหายมีภัยพิบัติ หากทรัพย์นั้นได้มาโดยผิดขั้นตอนวิธี ก็จะไม่กล้าใช้ อายุคือทรัพย์ อายุมากทรัพย์น้อยอย่าไปอวด

๒๓.ทะเลไม่ไร้คลื่น กรรมไม่ไร้ผล ดั่งสนิมกัดกินเนื้อเหล็ก เวรบาปกัดกินใจ บุตรบริวาร หมอ พระ พระเจ้า เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้ รักษาจิตด้วยการไม่ทำบาป ใจก็จะไม่ร้อน ไม่เศร้าหมอง

๒๔.เรื่องใจเป็นเรื่องที่ยาวนานที่เกาะกินใจ เพราะมีความจำได้หมายรู้ ทั้งที่ลับที่แจ้งที่มืดที่สว่าง ใจเรารู้เมื่อระลึกผุดหรือจรเข้ามาแต่ละครั้ง ใจก็ไม่สบายแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ยิ่งหลายเรื่อง ยิ่งสะสมมาจนแก่ ใจมันก็ช้ำ จะเป็นคนแก่หน้าไม่ยิ้ม แล้วจะไปยังไง กรรมดำไม่ทำดีกว่า จิตก็ไม่ถูกทำร้าย

๒๕.นั่งสมาธิจนเป็นหิน เดินจงกรมจนเท้าแตกพื้นดินสึกลึกเป็นร่องจนท่วมหัว แต่ไม่ได้ระลึกถึงความตาย ความแตกดับก็เป็นเพียงการภาวนาได้แค่เปลือกเพราะขาดปัญญา

๒๖.วิธีแก้วิตกกังวลคือ รักษาหน้าที่ มีความรับผิดชอบ อย่าให้งานค้าง ทำให้สุดทาง ไม่มาก็ทวงถาม ซ่อมรบฝึกฝนให้เคยชินกับเครื่องมือ อุปกรณ์ แนววิธี ไม่รู้ถาม ศึกษาเพิ่ม วางแผนให้ชำนาญ พยากรณ์ให้เห็นได้ คำนวณการใดดี ไม่นัดหมายผู้ใด ไม่สร้างเหตุอุกศล มีหรือก่อเวรใดๆ กับไม่ผูกพันหรือมั่นหมายกับสิ่งสมมุติของโลก จิตก็จะเบา ไม่เศร้าหมอง

๒๗.เราไปหาแก่นสารจากมนุษย์ที่มีกิเลส ชีวิตเราที่เกิดมาก็โมฆะ ไม่ได้เห็นทาง ไม่ได้รู้จุดหมาย เกิดแล้วก็ตายไปภพหนึ่งภูมิหนึ่งที่ไม่ได้ต่อสู้กับความตายหรือกิเลส พระองค์ทรงฆ่ากิเลสแต่เรากลับถูกกิเลสฆ่า

๒๘.คนบาปที่เบียดเบียนทำลาย เขาไม่ได้ชัยชนะอะไร มีแต่ถูกจองเวร ถูกอาฆาต กับมีทุกข์มีโทษภัยตามมา คนที่ชนะคือคนที่ไม่มีเวรไม่ถูกจองเวรไม่ถูกอาฆาต ท่องไปก็ไม่ต้องไประวังพวกหมู่โจทก์

๒๙.หลงตัวเอง เราก็ฆ่าชีวิต หลงชีวิตเราก็ฆ่าจิตใจ ไม่อิสระ หลงไม่รู้ดับ กิเลสมันหลอก เวลาชีวิตมันก็หมด มืดมาแล้วก็มืดไป

๓๐.ถ้าเปลี่ยนให้เขามีสัมมาทิฐิไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้วันเวลา เหตุการณ์ ความเจ็บปวด ความสูญเสีย หรือกฎกรรมสั่งสอนเขา หรือต้องปล่อยให้เขาไปชดใช้ภูมิภพ เจ็บครั้งหนึ่งสติก็เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่จะเจ็บที่เท่าไร เว้นแต่ชัดๆ เต็มๆถี่ๆ สติก็ตั้งได้ปัญญาก็เกิดได้ก็เริ่มละเริ่มวางเพราะเห็นทุกข์โทษภัย

๓๑.อำนาจ ลาภ ยศ บริวาร เป็นสิ่งคุ้มกันภายนอกจิต ที่ไม่ได้ยั่งยืนอะไร แต่สิ่งคุ้มกันภายในจิตคือบุญกุศลที่จะติดตามเราไปทุกภพ เราเกิดมาอยู่กับร่างนี้นาน จึงเข้าใจว่า ร่างนี้เป็นของเรา โลกนี้เป็นของเรา อย่าไปหลง หรือมาหยุดอยู่กับโลก เพราะเรากำลังเดินทางอยู่ ยังไม่ได้เข้ากระแสอริยะหรือบุรุษสี่คู่ จิตใจเรายังเป็นธูปเทียนมีดระเบิดดอกบัวไม้ธนูอยู่

๓๒.ไม่พอใจชีวิตเราก็สะกดจิตไปทางอกุศลว่าทำไมเราต้องจน ทำงานหนัก มีความเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นหนี้ ไม่ได้ขั้นยศตำแหน่ง หรือเจ้านายไม่รัก...ใจเราก็คับแค้นฟุ้งซ่านหดหู่ไม่สบายใจ จึงทำร้ายใจตนเองให้มีทุกข์อยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราพอใจในชีวิต เราก็จะหลงความเป็นมนุษย์ ติดอยู่ในภพมีโศกถูกหลอกให้ไปหาทุกข์ติดวัฎฎะ

๓๓.ขณะใดสติระลึกถึงศีล บาปก็ไม่เกิด ขณะใดจิตมีสมาธิเราก็จะไม่ฟุ่งซ่าน ขณะใดระลึกถึงธรรมใจเราก็ไม่เศร้า แต่ถ้าขณะใดจิตมีความอยากใจเราก็มีสภาพเป็นเปรต

๓๔.ไม่เข้าใจสัจธรรมเราก็ติดอยู่กับโลกก็จะหวัง มั่นหมายอะไรๆไปเรื่อยๆ ใจก็ไม่สงบ เมื่อมีสุขมีทุกข์เราจะหลง ดีใจเสียใจมีตัวตน แจ้งโลกก็สละโลก

๓๕.ทานก็ไม่ทำ ศีลก็ไม่รักษา สติก็ไม่ฝึกฝน ปัญญาก็ไม่อบรมเราก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีเกรดเสียจิตวิญญาณเพราะไม่ได้สร้างบุญบารมี

๓๖.ต้องหาจิตให้เจอดีกว่าไปหาทรัพย์เอกลาภชื่อเสียง กิเลสมันอยู่ในจิต มันหลอกให้เราหา พอมีมากเราก็ดีใจ แล้วมันก็จะมาพราก เราก็จะเสียใจ ถึงคลั่ง และบ้าได้เป็นภัยต่อภพภูมิถัดไป

๓๗.เขาทำอย่างไรก็เป็นกรรมของเขา เพราะกรรมเป็นผู้พิพากษาเขาเอง จะกำหนดภพภูมิเขาเอง ทำร้ายใจของเขาเอง สภาพจิตเขาก็สั่งสมอกุศลเช่นนั้น ใจเขาก็ไม่สงบไม่ความร่าเริงอยู่ภพปัจจุบันและภพถัดไป

๓๘.ยิ่งรวยยิ่งน่าสงสารเพราะเขาไม่มีเวลา วุ่นวาย ไม่อิสระ จิตไม่ว่าง ต้องบริหารจัดการ เหนือคู่แข่ง มีกำไร ไปที่นั้นที่นี้ที่โน้น....หาจิตไม่เจอ ใช้ชีวิตสมมุติเกินสมมุติจนหมด

๓๙.ที่ดิ้นรนกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อหนีทุกข์ แสวงหาสุขแต่ก็เดินไปหาทุกข์เพราะความชราสัญญากรรมวิบาก เว้นแต่จะมีกรรมสะอาดที่เกิดจากคุณธรรม คนฉลาดเขาไม่แสวงหาหรือตักตวงเอาอะไรจากโลกใบนี้

๔๐.ธรรมะ คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หู...ใจ เกิดกับต่อเนื่องอย่างรวดเร็วต้องมีสติตามรู้กายที่เคลื่อนไหวถูกกระทบสัมผัส ใจที่คิดนึกส่งออก กุศลอกุศล ไม่รู้จิตไม่รู้ชีวิตก็อาภัพธรรม

๔๑.มีชีวิต ไม่รู้ชีวิตหรือทางชีวิตที่ดีที่สุดของชีวิต มาหลงติดข้องกับสิ่งที่ปรากฏที่ไม่ใช่ตัวตน ที่ไม่เที่ยง ที่มีเวลาจำกัด ที่.....เอาชีวิตไปแลกกับวัตถุ บ้าน รถ ยศ เกียรติ ชื่อเสียง แล้วทอดทิ้งจิต ชีวิตเราก็เสียถูกกิเลสใช้หรือฆ่าทิ้ง

๔๒.โกรธเขาเราร้อน อย่าไปโกรธเขาเพราะเขามีภูมิมีสติปัญญาอุปนิสัยคุณสมบัติเช่นนั้น ต้องเมตตาตาเขา เขาต้องดิ้นรนหากินมีทุกข์ หนีทุกข์แต่ก็เจอทุกข์ “เขาไม่รู้”

๔๓.เห็นเขาใส่เสื้อผ้ามีชุดสวยๆ กินอาหารดีๆ มีเครื่องประดับเยอะๆ มีบ้านหลังโตๆ รถคันโตๆ มีเกียรติ มีคนเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังเราก็เข้าใจไปว่า นั้นคือมนุษย์ชั้นหนึ่ง ปุถุชนเขายกย่องกันเอง ตัดสินกันเอง กำหนดกันเอง

๔๔.จิตที่เห็นสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นไอติม หรือไตรลักษณ์ หรือเห็นกายเป็นก้อนขี้ หรือส้วมก็จะเดินออก ไม่ไปปรุงแต่งอะไรแล้ว

๔๕.เสียดายขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ ที่กำลังเสื่อมที่กำลังจะแตกเพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้ จิตเขาตั้งไม่ได้ สัญญามันเยอะ

๔๖.คนไม่กลัวบาป เขาไม่มีกติกาชีวิต น่ากลัวทำได้ทุกอย่าง จะมาเข้าแถว หรือต่อท้ายแถวคนสุดท้ายเพื่อขึ้นสวรรค์ก็ไม่ได้ เขารออยู่.....

๔๗.มนุษย์โลกอย่างเก่งเขาก็อวดกันที่ใครมีอาณาจักร วัตถุ ทรัพย์สมบัติ บริวาร ลาภ ยศ เกียรติ หรือชื่อเสียงมากกว่ากัน แต่เขาลืมไปว่ามนุษย์อายุไม่ยืน เดี๋ยวก็หาหมอ เดี๋ยวก็แก่ หาความสงบใจไม่ได้ ต้องพิทักษ์ แสวง

๔๘.คนเท่ากันต่างกันที่ภูมิ สัญญา อดีต ใจที่นึกคิด กรรมวิบาก การปฏิบัติตนที่เจริญอยู่ด้วยกุศล ฝึกอบรมบ่มอินทรีย์

๔๙.หาความสุข ความสบายจากวัตถุ สิ่งภายนอกเราก็เพิ่มต้นทุนภาระ ความกังวล ความวุ่นวาย เป็นสุขที่ไม่ได้ยังยืนกับเจือด้วยทุกข์

๕๐.ใจที่เปิดรับธรรมะก็ทำให้ภูมิจิตภูมิธรรมสูงขึ้น ได้ลาออกจากบาป

๕๑.สำเร็จเอกลาภ แต่ต้องไปเกิดใหม่วนเวียนไม่รู้จบก็ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต อย่าไปหลงภพ

๕๒.ไม่มีอะไรก็ไม่ถูกเบียดเบียน สิ่งที่ค้างใจให้กังวลก็ไม่มี ใจก็สุขสงบ ส่วนผู้มีเขาก็วุ่นวาย กังวล เดือนร้อน ถูกแย่งถูกขอถูกรุม จะมีกี่คนที่จริงใจกับเขา

๕๓.ไม่เข้าใจธรรมะหรือไม่ขัดเกลากิเลสแล้ว เราก็หวังผลในความดี ใจก็ไม่บริสุทธิ์ ก็ติดอยู่ในวัฎฎะ

๕๔.ที่เราเบียดเบียนกันก็เพราะมีเวรกันมา เมื่อยอมก็จะสิ้นเวร หมดเวร ไม่ใช่กลัว ไม่ผิดศีล ไม่ขัดคอ เวรก็ไม่มี เราก็อยู่อย่างผู้ไม่มีเวร เย็น

๕๕.ดำรงชีวิตอาศัยพึ่งพากันได้ในเรื่องปากท้องแต่ในเรื่องมรรคผลต้องพึ่งตนเอง กรรมกำหนดภพ

๕๖.หาเงินหาทอง หายศหาอำนาจ สะสมทรัพย์สะสมที่ สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สร้างบ้านหลายๆหลัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ตาย หรือว่าเขาจะอยู่เป็นล้านปี หรือเขาหลงอยู่กับโลก แต่ถึงอย่างไรเราต้องไม่ตายไปพร้อมกับบาป เพราะบาปนำเราไปสู่ทุคติภูมิ

๕๗.จิตรู้ ก็มีแต่ความจริง เพราะใช้เหตุผลแห่งธรรม จิตไม่รู้ก็หลอกมีเวรเป็นทุกข์โทษภัย

๕๘.ทำกรรมดีใจก็ดี ทำกรรมไม่ดีใจก็ไม่ดีไม่สว่างไม่สงบเพราะเห็นกรรมที่ทำที่จรเข้ามา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ส่งผล ดับลงก็นำไปสู่ทุคติ

๕๙.การปฏิบัติธรรมก็เพื่อค้นหา และทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ต้องฝึกฝนเจริญสติอบรมจิตต้องมีศีลมีวินัยรู้หน้าที่มีความรับผิดชอบ

๖๐.บริโภคหรือใช้ด้วยตัณหา เราก็จะเดือนร้อน มีหรือหาจนเกินสมมุติเราก็หลง รู้ใช้รู้จาก สบาย

๖๑.ผู้มีปัญญาย่อมตามรักษาจิต ใช้กายเป็นสะพานไปสู่มรรคผลไม่ติดข้องหรือบำเรอกายที่เป็นก้อนขี้ที่ไม่เที่ยง

๖๒.เมื่อเราไม่ยอมรับสัจธรรม มีความเห็นผิด เข้าใจผิด เข้าใจในความคิดความเห็นของตน ทางเดียวที่จะไปคืออบายภูมิ หรือนรก

๖๓.ตราบใดที่เราได้เกิดมา หรือมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องพึ่งธรรมะเพื่อยุติการเกิด ถ้าเราไปพึ่งสิ่งอื่นก็ต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่มีสิ้นสุด ต้องฟังธรรมรู้(ให้เข้าใจ) ภาวนาให้เห็น แจ้งโลกก็สละโลก ทิ้งกายทิ้งจิต

๖๔.ฟังธรรมให้เข้าใจเป็นปัญญาขั้นรู้ แต่ก็ยังไม่ได้ประจักษ์เพราะไม่ได้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในแต่ละขณะๆกับทางกายที่ถูกระทบสัมผัสเย็นร้อน อ่อนแข็ง หรือทางใจที่ส่งออก ปรุงแต่ง นึกคิด ฟุ้งซ่าน ขุ่นเคือง หดหู่ คับแค้น พอใจ หรือกุศลเกิดก็ไม่รู้ อกุศลเกิดก็ไม่รู้ สงบก็ไม่รู้ ไม่สงบก็ไม่รู้

๖๕.อย่างน้อยเราต้องมีความอดทนอดกลั้นเพราะเป็นพื้นธรรม เมื่อไม่มีเราก็ขาดความรับผิดชอบ รักษาความดีไม่ได้ มีชีวิตก็เหมือนไม่มีชีวิต เอาชีวิตไปทิ้งเป็นเหยื่อวัฎฎะ

                                  โดย พ.ต.ท.สุรเดช ผะอบทิพย์
                                           ๕ สิงหาคม ๒๕๖๒

บทความที่ได้รับความนิยม