วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม ๒๐

สมาธิเคลื่อนที่กับข้อคิดข้อธรรม  ๒๐

๑.ดิ้นรนมาก เราก็สร้างความเจ็บปวด ความเครียดแค้นชิงชัง ใจเราก็เศร้าหมองกายก็เหนื่อยมีโรคภัย

๒.แบกมากไป เราก็วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน วิตก สร้างทุกข์โทษเวรภัยให้แก่ตัวเอง

๓.โลกนี้มากไปด้วยความบีบคั้น มีกายที่แปรที่ถูกกระทบอยู่ตลอด มีใจที่ส่งออกวันหนึ่งไม่รู้กี่เรื่อง ไม่มีความสงบเลย

๔.เมื่อวานก็ได้ วันนี้ก็ได้ ที่ผ่านๆมาแต่ละวันเราก็ได้ แต่เวลาชีวิตก็ได้หมดลงกับสิ่งที่ได้นั้นแล้ว ที่เหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เรียกคืนก็ไม่ได้ เปลี่ยนมันใหม่ก็ไม่ได้ สรุปเราเกิดมาเพื่อวัตถุหรือจิตวิญญาณ หรือเอาชีวิตไปแลกกับบ้านโต รถโต ยศโต...โต

๕.เมื่อความตาย ความไม่เที่ยงรอเราอยู่ข้างหน้า จะมีประโยชน์อันใด ที่จะต้องดิ้นรนจนเป็นทุกข์ อยู่ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทยอยตามกันหมด จากภพหนี่งไปสู่ภพหนึ่ง

๖.มนุษย์สัตว์ วัดดูกันได้ที่ประมาทหรือไม่ประมาท ฝึกฝนหรือไม่ฝึกฝน ขี้เกียจ หรือรักสบาย ดื้อ ดุ หรือเชื่อฟัง อ่อนน้อมหรือมือแข็ง เลี้ยงง่ายหรือยาก...

๗.พึ่งผู้มีฤทธิ์ผู้มีอิทธิพล เราก็ประมาท ขาดการพัฒนาฝึกฝนตน และก็อยู่ใต้เขา พึ่งผู้มีกิเลสเราก็บริสุทธิ์ไม่ได้ พึ่งพระ พึ่งพระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เพราะพระเองก็หาที่พึ่ง พระเจ้าก็ไม่ได้ทำให้เรามีปัญญา เราต้องพึ่งตนเอง มีธรรรมวินัย

๘.ปัญญารู้ได้ด้วยการสนทนา เห็นถูกหรือเห็นผิด บอดหรือสว่าง กุศลหรืออกุศล สำเร็จหรือเสร็จ เป็นพระหรือเป็นมาร เทพหรือผีเปรต

๙.ความสะดวกสบาย เราทำให้แก่ร่างกาย แต่ทางจิตใจ ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราก็ขาดความร่มเย็นเป็นสุข เช่น เกินตัว ก่อเวร

๑๐.คิดนาน สงสัย ไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจ ไม่แจ่มเราก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้ รู้สึกไม่ได้ เราก็เจ็บ ดับ ยาว(อนันต์ภพ) ความไม่รู้เป็นมลทินสุดร้าย

๑๑.ไม่อยากเจ็บ อย่ามีอะไร และไม่รู้จักอะไร อย่ายุ่ง ถ้ามีและยุ่ง เดี๋ยวก็เจ็บ วันนี้มันๆ ยังไม่เจ็บ เจ็บอยู่ก็ไม่รู้ ต้องชัดๆ เต็มๆ ถี่ๆ สติตั้ง

๑๒.สงสารคนที่เขาไม่ได้ประมาณชีวิต เพราะเขาจะหากินไปเรื่อยๆ ชื่นชมกับทรัพย์เอกลาภ และทันใดเมื่อเขาต้องเดินออกจากโลก เขาก็ตกใจ เสียใจ สูญเสียสิ่งที่เขาทำมา และสิ่งที่เขายังไม่ได้มา จิตวิญญาณเขาจะไม่สงบ ไม่มีที่พึ่ง เขาต้องไปคนเดียวอย่างมีดบอด บนเส้นทางสายเปลี่ยวไปตามกฎกรรมที่เขาได้ทำมา

๑๓.ที่สุดไม่มีใครได้อะไร เพราะทุกสิ่ง ทั้งตัวเราและสิ่งนอกตัวเราเป็นสิ่งสมมุติ ที่เกิดอาศัย ได้ใช้ มาแสดง มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องแล้วก็ดับไป สิ้นไป ชั่วแวบหนึ่งเมื่อเทียบกับเวลาอนันต์ หรืออายุไขของโลก

๑๔.คบคนเป็นคน คบสัตว์เป็นสัตว์ คบเทพเป็นเทพ ธาตุเดียวกันหรือใกล้กันคบเข้ากัน

๑๕.เข้าใจชีวิต ก็รักทุกชีวิต เพราะชีวิตเป็นที่รัก มีทุกข์กาย ทุกข์ใจตลอดเวลา ต้องบำบัดขับถ่าย ขยับ เคลื่อนถูกกระทบ ถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ไหนใจที่ส่งออกไม่หยุดนิ่ง ต้องสู้รับสัญญา ความจำได้หมายรู้ในอดีตที่เราได้ก่อทำไว้ไม่ดีมา

๑๖.กายมีที่อาศัยสะดวกสบาย แต่ใจที่ไม่มีที่พึ่ง เราก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ เสียชีวิตกับชาติที่เกิดเหตุ รับรู้ แต่เข้าใจไม่ได้ แล้วจะไปยังไง อบายภูมิมันก็กินเรา

๑๗.ระวัง คัมภีร์จะบดบังพระธรรม สมมุติสงฆ์บังอริยะสงฆ์ พิธีกรรม ศาสนวัตถุ กีดกันเนื้อธรรม และวัตถุรูปหล่อเหรียญผล บทสวดวิธีแนวปฏิบัติจะนำหรือพาเราหลงทางไปผิดทาง ธรรมแท้ต้องละกิเลส เป็นไปเพื่อ ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับทุกข์ สงบ ระงับ หรือเพื่อรู้ รู้ยิ่ง รู้แจ้งเข้านิพพาน สละโลก

๑๘.จงตื่น และมองดูโลกที่กำลังจาก เราใช้ชีวิตจากที่มีเรา ไปสู่ความไม่มีเรา โลกคือทางผ่าน เรามาอาศัยมาดื่มอาบเคี้ยวกิน เสร็จแล้วก็ไป ไม่ใช่มาหยุดอยู่กับโลก ชีวิตคือการเดินทาง จากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง สืบต่อเนื่องไปจนกว่าจะถึงความดับสูญ

๑๙.กล่าว หรือประจบเพื่อหวังในทรัพย์ เอกลาภ เสียสกุล ไม่ใช่วิสัยสมณะ ผู้มีปัญญาไม่ขอ

๒๐.รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ในสิ่งที่ทำ รู้ในคำที่พูด รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส รู้ใจที่นึกคิดส่งออก กุศลอกุศล เกิดดับไปก็รู้ รู้และพิจารณาอยู่เนื่องๆ ปัญญาก็เจริญขึ้นๆ

๒๑.เราต้องดูแลความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ทุกๆขณะ เริ่มที่ศีล หรือต่ำๆก็ต้องมีทาน ทิ้งจิตทิ้งชีวิต เสียโบสถ์ เสียวิหาร เจดีย์....

๒๒.เราเป็นคนจน ไม่มียศมีอำนาจก็ไม่เป็นไร เราเรียนหนังสือไม่เก่งก็ไม่เป็นไร เราทำงานไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เราทำงานหนักก็ไม่เป็นไร เรามีกายพิการก็ไม่เป็นไร เรากินอยู่ไม่ดีก็ไม่เป็นไร เราถูกเอาเปรียบหรือถูกเบียดเบียนก็ไม่เป็นไร เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เหตุปัจจัย ความเป็นมา หรือกฎกรรมจึงดำเนินมาอย่างนี้ แต่ก็ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ไปก่อทุกข์โทษเวรภัยกับใคร บุญบารมีเราก็เกิด ใจเราก็ไม่เศร้าหมอง เราก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว

๒๓.เมื่อขาดความรับผิดชอบเราก็ประมาทในวัย ชีวิต ทรัพย์สิน และครอบครัว

๒๔.การเป็นอยู่ด้วยความหลอกลวง เป็นความโง่ในทางจิตวิญญาณ

๒๕.ผลต่างของการรับรู้ ระหว่างตามความเป็นจริงกับตามความอยากหรือความหลง เท่ากับศูนย์จิตก็ไม่หวั่นไหวยินดียินร้าย

๒๖.วิธีดับความอยาก หรือความติดข้องคือ พิจารณาให้เห็นภาระ โทษ เวร ภัย อายุ การแตกดับ การจม วนเวียน

๒๗.วิธีดับความโกรธ ต้องพิจารณาเหตุปัจจัย สิ่งที่เกิดปรากฏดับ หรือเมตตาสงสาร เห็นทุกชีวิตมีทุกข์ติดตัวกันมา ต้องดิ้นรนหนีทุกข์ และจมอยู่กับโลก ทั้งก็ต่างสติปัญญาอุปนิสัย ....โกรธเขาเราร้อนๆ.....

๒๘.วิธีดับหลง ต้องพิจารณาให้เห็นความเกิดดับ ความว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของเรา อนันต์ๆ ไม่เที่ยงๆ ตายๆ ศพๆ อุสภะ

๒๙.ตัวปัญหาคือตัวเรา เพราะเป็นตัวกิเลส มีเหตุมีผลตลอด ว่าตนเองถูก แต่ก็ไม่พ้นทุกข์

๓๐.เขาเบียดเบียนเราทางกาย แต่ทางใจเขาทำไม่ได้เพราะใจเรามีธรรมะ รู้ว่านั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เป็นเพียงสภาพอกุศล หรือมีเหตุปัจจัยกันมา จึงเป็นเช่นนี้เอง

๓๑.ระดับปัญญาหากิน ๑ ไม่หากินหรือหากินไม่ชอบ ๒ หากินเกินกำลัง เช่นเบียดเบียนตนและผู้อื่นหรือทอดทิ้งจิต ๓ หากินตามกำลังตามเหตุปัจจัย ได้มากก็แบ่งปัน เกื้อกูล ๔ หากินเท่าที่จำเป็น ๕ หากินเพื่อบำบัด ๖ หากินเพื่อละ ๗ ยุติการหากินโดยสลายธาตุขันธ์

๓๒.อยู่มานาน ชีวิตจะหมด ทำไมทุกข์ยังไม่ดับ ที่หาอยู่ รักษาอยู่ เป็นอยู่นั้นคือทุกข์

๓๓.เกษียณแล้วอีกไม่กี่ปี หรือสิบปี ยี่สิบปีเราก็เป็นภาพถ่ายติดฝาผนัง นานๆไปก็ไม่มีผู้ใดพูดถึง เพราะคนที่พูดถึงก็ตาย มนุษย์รุ่นใหม่ๆก็มาแทนทีพวกเรา พวกเราเหมือนเมฆหมอกเป็นอนุภาคเล็กๆที่เกิดปรากฏดับไป

๓๔.ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เท็จมากกว่าจริง หามากกว่าละ หรือเบียดเบียนกันมากกว่าที่จะเมตตา และหาสัจจะได้ยาก เพราะเรามุ่งหาวัตถุมากกว่าจิต เราต้องไม่อยู่ร่วมกันอย่างผีๆ เปรตๆ สัตว์ๆ (ผีคือ เท็จ,เปรตคือ อยาก และสัตว์คือ ไม่รัก เคือง)

๓๕.ตัวตนเราคือจิต ไม่ใช่ร่างกายที่กำลังแปรเสื่อมดับ ต้องหาจิตให้เจอ เพื่อทำหน้าที่ชีวิต ไม่ใช่เอาชีวิตไปแลกกับบ้าน รถ ยศ เกียรติแล้วก็ดับไป

๓๖.เมื่อขาดปัญญา เราก็รับรู้ด้วยความหลง ความอยาก หรือตามสัญญาที่วิปลาส เพี้ยน

๓๗.ศัตรู้ที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือ ความเห็นผิด เข้าใจผิด บอดดับมืดไป

๓๘.ชีวิตหลังเกษียณต้องเตรียมดับ รักษาร่าง หาอุบายวิธีจาก สละ ลา ละสิ่งสมมุติของโลก  ไม่สร้างเหตุสิ่งผูกพันภาระใดๆ ให้มีผลต่อวันข้างหน้า อยู่วันต่อวัน ใจก็สงบ ว่าง อิสระ เมื่อดับก็ไปสบาย ไปสู่สุคโต ละคร หนัง ลิเก จบก็จบ ถ้าไม่จบ ก็มีปัญหาต่อภูมิภพที่จะไป มีอบาย

๓๙.การประมาทในเหตุทำให้ตายทั้งเป็น มีลิมิตฆ่าตัวตาย และหรือเบียดเบียนทำลายผู้อื่น เช่น ขี้เกียจ ติดสุข ไม่ประมาณตน ไม่ประมาณชีวิต ไม่รู้หน้าที่ชีวิต

๔๐.ขาดสติ เราก็ขาดตัวตัดกระแสความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ จิตก็ตกเป็นทาส ปรุงแต่งส่งออกไปเรื่อยๆ ขาดปัญญาเราก็หลงกับสิ่งที่ปรากฏ จิตก็เห็นผิด คิดผิด นำไปสู่บาปอกุศลหรือนรก

๔๑.ความสุขสบายเป็นเปลือกของชีวิต แต่แก่นของชีวิตคือใจที่สงบ ที่มีความดับเย็น

๔๒.ธรรมะช่วยให้หายโง่ ก่อนที่จะเจ็บหรือจม

๔๓.รูปหล่อนี้ เหรียญนี้ ผงนี้ ยิงไม่ออก ตะกรุดนี้ก็ฟันไม่เข้า ยันต์นี้คุ้มภัย คำหมากนี้ก็ไม่ตาย แล้วอุบัติเหตุโรคภัยยาพิษไม่ตายหรือ ที่แน่ๆ ผู้ปลุกเสก สวด ท่อง เป่า พ่น เจิมได้ตายไปแล้ว บอกความจริงแก่ลูกหลานได้แล้ว ลืมขน เล็บ ฟัน หนังไปแล้วหรือ เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปไว้ที่ไหน ทำไมไม่เอาธัมมาธิปไตยเป็นใหญ่ หรือจะเอาน้ำเต้า นางกวัก ชูชก ปีเซียะดีไหม จะได้รวย เฮงๆ มีศีลมีความคุ้มครอง มีความอาจหาญต่อยมบาล ดีกว่ามีเครื่องรางของขลังวัตถุมองคลทั้งหมด ศีลเป็นเยี่ยมในโลก

๔๔.มีสิ่งใด เราก็ทุกข์กับสิ่งนั้น เช่น มีตาหูจมูกปากฟันผิวผมก็ทุกข์ เพราะมีเชื้อโรค เช่นปวดฟัน ปากเหม็น ผิวมีสิวกะฝ้า หนังย่นคัน มีบ้าน รถ ผัว เมีย ลูกก็ทุกข์ เช่นมีผัวชอบกินดื่มเที่ยวเล่นขี้เกียจมีกิ๊ก ลูกซนเกดื้อติดยา เมียโกหก ใช้เงินเก่ง มีรถห่วงซ่อมเสื่อมพัง มีพี่เพื่อนน้องญาตินายลูกจ้างพ่อค้าผู้นำ โกง หรือเอาเปรียบ หรือเบียดเบียน

๔๕.ปัญญาฝ่ายโลก เรียนรู้ถึงขั้นสูงสุดก็แพ้กิเลส มองไม่เห็นโทษของกิเลส มองไม่เห็นความดับ จิตดับเย็นไม่ได้

๔๖.มีทรัพย์เอกลาภ เราก็ไม่ได้อยู่กับมันจริง เพราะเราอยู่กับจิต กับความคิดและอารมณ์ หรือใจที่ส่งออกที่เป็นความทรงจำที่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตนที่เที่ยง แต่แล้วชีวิตเราก็หมดไป โดยไม่ได้รู้โลกของจิตวิญญาณหรือหนทางที่ออกจากวัฎฎะ

๔๗.เราเกลียดเขา ดีกว่าเขาเกลียดเรา เพราะเรากำหนดรู้เห็นจิต คุมจิตได้ ส่วนเขาอาจแกล้ง ทำร้าย ทำลายเราได้ หรือปล่อยให้เราตายได้ เจ็บได้ อยู่อย่าให้เขาเกลียด

๔๘.ถ้าเราเข้าใจชีวิตแค่เสื้อผ้า ปากท้อง เครื่องประทับ ยศ เกียรติ แต่ขาดเรื่องจิตใจ บุญบาป มรรคผล เราก็ขาดทุน เพราะเรามองไม่เห็นจิตที่มีทุกข์ที่ไม่อิสระ และก็ดับไปอย่างมืดบอดไม่รู้กี่อนันต์ภพ เหมือนสัตว์โลกที่เกิดมาแล้วก็ตายไปภพหนึ่งๆ

๔๙.ความยินดียินร้ายทำให้เราจมอยู่กับโลก

๕๐.โลกคือหมู่สัตว์ เป็นเวทีแห่งภูมิภพ เมื่อมีปัญญาแจ้งโลก เห็นชัดอนัตตาก็หลุดพ้นไม่ต้องมาเกิดมาตาย (สุญโญ)



                          โดย พันตำรวจโทสุรเดช ผะอบทิพย์

                                    ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๒

บทความที่ได้รับความนิยม